ผ่าตัดแปลงเพศโดยการต่อลำไส้
การผ่าตัดโดยการต่อลำไส้ เป็นการผ่าตัดที่เลือกใช้ทำเฉพาะในบางคน ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศด้วยวิธีนี้ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ใหญ่กว่าการแปลงเพศปกติ มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่า โดยทั่วไปจะทำใน 2 กรณี ดังนี้
1. ผู้ที่มีอวัยวะเพศชายเล็กมาก
ไม่สามารถจะสร้างช่องคลอดได้เพียงพอ อาจพิจารณาทำการผ่าตัดต่อลำไส้ตั้งแต่ครั้งแรก (Primary Colon – Vaginoplasty)
2. ผู้ที่เคยผ่าตัแปลงเพศมาแล้ว ช่องคลอดตันหรือสั้นกว่าปกติ
การต่อช่องคลอดด้วยลำไส้ เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในการเพิ่มความลึกของช่องคลอด (Secondarly Colon – Vaginoplasty)
การผ่าตัดต่อลำไส้เมื่อเทียบกับการแปลงเพศแบบใช้ผิวหนังมีข้อดีข้อเสีย ดังนี้
สารบัญ
- สามารถใช้งานในการร่วมเพศได้ดีมาก เนื่องจากความลึกมักได้อย่างน้อย 6 – 9 นิ้ว
- มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติจากเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ทำให้การร่วมเพศทำได้ง่าย
- การที่มีสารหล่อลื่นออกมากบางครั้งและตลอดเวลา ทำให้อาจต้องใช้ผ้าอนามัยตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน เนื่องจากสารหล่อลื่นอาจออกมาเวลาที่เดินไปมา หรือเปลี่ยนอิริยาบถ
- เป็นการผ่าตัดใหญ่กว่า ต้องเปิดแผลหน้าท้องและตัดต่อลำไส้ ทำให้มีความเสี่ยงติดภาวะแทรกซ้อนมากกว่า และมีแผลเป็นที่หน้าท้องเพิ่มขึ้น
- เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น
ขั้นตอนการผ่าตัดโดยการต่อลำไส้
การผ่าตัดทำโดยใช้แพทย์ 2 ทีม
1. ทีมแพทย์ที่ผ่าตัดลำไส้ เพื่อต่อกับช่องคลอด เป็นทีมที่มีความสำคัญมากสำหรับการผ่าตัดทำช่องคลอดดยการใช้ลำไส้ เพราะจะเป็นผู้เลือกตำแหน่งและความยาวของลำไส้ที่จะตัดมาทำเป็นช่องคลอด โดยลำไส้ส่วนนี้จต้องมีเส้นเลือดขนาดใหญ่มากพอ ที่จะมาเลี้ยงสำไส้ส่วนนี้ ซึ่งต้องมีความยาวมากพอที่จะร่วมเพศได้ และต้องสามารถดึงลงมาต่อกับส่วนผิวหนังด้านนอกโดยไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ซึ่งการผ่าตัดสามารถทำได้ 2 วิธี
1.1 การผ่าตัดแบบเปิด โดยใช้แผลแนวขนานบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง เป็นเทคนิคที่ใช้ตามปกติเพราะสามารถมองเห็นตำแหน่งที่จะผ่าตัดลำไส้ได้ดี และเห็นตำแหน่งที่จะต่อกับผิวหนังเพื่อทำช่องคลอดได้ชัดเจน
1.2 การผ่าตัดโดยใช้การส่องกล้อง ทำการตัดต่อลำไส้โดยใช้การส่องกล้อง ซึ่งแผลตามแนวขวางจะมีขนาดเล็ก แต่จะมีแผลเล็กๆอีก 2 แผล
** สำหรับการผ่าตัดแปลงเพศลำไส้เทคนิคใหม่ของ BCS การผ่าตัดส่วนลำไส้จะใช้การผ่าตัดแบบปกติ ไม่ได้มีการส่องกล้อง เนื่องจากการผ่าตัดส่องกล้อง แพทย์ทีมที่ 1 อาจจะสามารถตัดต่อลำไส้ได้ดี แต่วัดขนาดความตึงของส้นเลือด และการยืดของลำไส้เผื่อลงมาต่ออาจจะทำได้ไม่ดี ทำให้มีปัญหารในการต่อกับช่องคลอดได้
โดยทั่วไปลำไส้ที่ถูกนำมาใช้ทำช่องคลอด เป็นลำไส้ส่วนปลายที่โค้งเข้ามาในช่องท้อง ก่อนการผ่าตัดเราจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าว่าลำไส้ส่วนนี้ จะมีความยาวเพียงพอหรือไม่ หรือเส้นเลือดสามารถยืดได้ยาวพอหรือไม่ ดังนั้นผู้ที่เลือกเทคนิคการผ่าตัดลำไส้อาจจะต้องยอมรับว่า ในบางกรณีเมื่อเปิดแผลหน้าท้องแล้วอาจจะไม่สามารถใช้ลำไส้มาทำช่องคลอดได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวมีโอกาสเกิดน้อยมาก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ **
2. การเตรียมผิวหนังส่วนล่างในการต่อกับลำไส้ จะมีความสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากหากผิวหนังที่เตรียมไว้สั้นเกินไป ในขณะที่ทีมเตรียมลำไส้ ไม่สามารถตัดลำไส้ได้ยาวมากพอ อาจทำให้ไม่สามารถต่อกับผิวหนังเพื่อทำเป็นช่องคลอดได้ และถ้าในกรณีที่ได้ลำไส้ยาวพอ โดยที่ผิวหนังสั้นมากกว่าก็จะเกิดปัญหาการมองเห็นส่วนของลำไส้บริเวณปากทางเข้าช่องคลอดได้ ลำไส้ใหญ่ส่วนที่นำมาทำปากช่องคลอด จะมีสีแดงต่างจากผิวหนังชัดเจน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสีเดียวกันกับผิวหนังเมื่อเวลาผ่านไป การมองเห็นส่วนของลำไส้ในคนไข้ที่ผ่าตัด Colon เรียกว่า Colon Mucosa show เป็นปัญหาที่พบบ่อยๆ ลักษณะที่พบส่วนใหญ่จะเห็นส่วน สีแดงของลำไส้ใหญ่บริเวณปากช่องคลอด โดยส่วนมากเกิดจากการเย็บลำไส้ต่อกับผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดในตำแหน่งที่ต่ำมาก ทำให้ มีปัญหาการมองเห็นลำไส้สีแดง ซึ่งเป็นปัญหารที่มีผลกระทบทางใจมากกว่าแผลเป็นหน้าท้อง แต่ถึงแม้ตำแหน่งที่เย็บลำไส้ต่อกับผิวหนังจะอยู่ต่ำ แต่จะช่วยให้การใช้งานได้ดี เมื่อร่วมเพศ สามารถสอดใส่เหนือตำแหน่งรอยเย็บได้เลย แต่เนื่องจากความผิดปกติบริเวณปากช่องคลอดจะเห็นชัดมาก คนไข้ส่วนใหญ่ต้องพยายามปิดบังบริเวณนี้ไม่ให้ใครเห็น ทำให้มีปัญหาในการร่วมเพศและเกิดความกังวลกับภาพลักษณ์ จึงเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตคู่
คนส่วนใหญ่มักไม่รู้จักเทคนิคและปัญหาของการใช้ลำไส้มาทำเป็นช่องคลอด สำหรับกรณีที่มองเห็นสีของลำไส้บริเวณปากช่องคลอดในเทคนิคเก่าที่ไม่มีการทำแคมใน ให้มาคลุมบริเวณปากช่องคลอด จึงทำให้เห็นสีแดงของลำไส้ใหญ่ชัดเจน การทำแคมในให้ยาวนั้น ด้วยเทคนิคใหม่ของ BCS สามารถทำให้แคมในลงมาปิดทางเข้าปากช่องคลอดทั้ง 2 ด้าน ทำให้สามารถปิดบังสีแดงของลำไส้ แม้จะต้องดึงลำไส้มาต่อกับผิวหนังในตำแหน่งที่ต่ำมากก็ตาม
เทคนิคพิเศษของบางกอกศัลยกรรม
- เป็นเทคนิคที่ใช้ในกรณีที่ทำผ่าตัดโดยใช้ลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ครั้งแรก Primary Colon- Vaginoplasty เทคนิคแบบเดิม เป็นเทคนิคที่มีการดีไซด์ผิวหนังด้านหลังนำไปต่อกับช่องคลอดแบบใหม่ ให้ตำแหน่งทางเข้าช่องคลอดกว้างขึ้น และส่วนที่เป็นรอยต่ออยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามรถมองเห็นได้
- BCS มีการดีไซดืการทำรูปร่างภายนอกแบบใหม่ ทำให้แคมในยาวลงมาปิดบริเวณปากช่องคลอด ทำให้มีรูปร่างสวยงามคล้ายกับอวัยวะของเพศหญิงมากขึ้น
- BCS ทำเทคนิคแบบใหม่ ทำให้รอยต่อของลำไส้ กับปากช่องคลอดกว้างขึ้น ทำให้ปัญหาเรื่องการตีบแคบของช่องคลอดน้อยลง เมื่อเทียบกับเทคนิคเดิม
- BCS มีการทำด้านบนของช่องคลอดใช้ท่อปัสสาวะทำเป็นรอยต่อกับช่องคลอดด้านบน ช่วยทำให้เก็บรอยต่อได้ดีขึ้น
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศโดยการต่อลำไส้
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากรับประทานยาชนิดใดก่อนรับการผ่าตัด
- หยุดใช้ยาฮอร์โมน และวิตามินบำรุงผิวทุกชนิด 4 สัปดาห์
- ควรลาหยุดงาน ประมาณ 3 – 4 สัปดาห์
- ควรมีเพื่อนหรือญาติมาด้วยในวันที่ผ่าตัด
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าผ่าตัดได้หรือไม่ พร้อมกับใบรับรองแพทย์กับแพทย์นั้นๆ
- ได้รับการ Laser กำจัดขน ทุก 3 สัปดาห์ จำนวน 3-5 ครั้ง ก่อนผ่าตัด เพื่อ ง่ายต่อการผ่าตัดและ ลดการเกิดขนในช่องคลอดหลังผ่าตัด
- ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด จะต้องเข้านอนโรงพยาบาลก่อนผ่าตัด 1วัน เพื่อทำการสวนล้างลำไส้เตรีมผ่าตัด
การเตรีนมลำไส้ (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแต่แพทย์เห็นสมควร)
- รับประทานอาหารอ่อน กากใยน้อย 2-3 วันก่อนวันผ่าตัด
- รับประทานยาระบาย 1 เม็ดก่อนนอน(BCS เตรียมให้) ในวันก่อนมานอนโรงพยาบาล
- กินยาระบาย 1 ซอง ผสมน้ำ 2 ลิตร ในเวลาที่แพทย์กำหนด
- หลังจากทายาระบายหมด ให้ทานอาหารเหลวใสเท่านั้น
- งดน้ำและอาหารตามที่แพทย์กำหนดเวลาไว้
การดูแลหลังผ่าตัดแปลงเพศโดยการต่อลำไส้
การดูแลหลังการผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล
- อาการปวด ในช่วงวันแรกหลังผ่าตัดอาจมีอาการปวดแผลมาก เนื่องจากมีแผลผ่าตัด 2 ที่ บริเวณหน้าท้องและอวัยวะเพศ โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาลดอาการปวดอย่างแรงตามเวลา แต่หากมีอาการปวดมากสามารถขอยาแก้ปวดเพิ่มได้
- การรับประทานอาหาร หลังผ่าตัดจะต้องงดน้ำและอาหารจนกว่าเริ่มมีการทำงานของลำไส้ แพทย์จึงจะเริ่มให้ทานได้ โดยเริ่มจากการ จิบน้ำ, ทานอาหารเหลว, โจ๊ก ซึ่งแพทย์จะประเมินจากอาหารของแต่ละคนเป็นหลัก ฉะนั้นระยะเวลาเริ่มทานอาหาร อาจจะใช้เวลานานไม่เท่ากัน
- แผลผ่าตัด -แผลผ่าตัดทางหน้าท้อง จะเปิดทำแผลในวันที่ 4 – 5 วัน หลังผ่าตัด แล้วติดเทปกันแผลแยก ซึ่งการตัดไหมนั้นขึ้นอยู่กับแผลผ่าตัดของแต่ละคน -แผลผ่าตัดที่อวัยวะเพศ จะเปิดในวันที่ 5 หลังผ่าตัด โดยหลังจาการเปิดแผล จะทำความสะอาดด้วยน้ำยาเบตาดีนเท่านั้น
- การขับถ่าย
- ปัสสาวะ หลังผ่าตัดแพทย์จะใส่สายสวนปัสสาวะไว้ และจะถอดในวันที่เปิดแผล หลังจากถอดสายสวนปัสสาวะแล้ว คนไข้จะสามารถปัสสาวะได้ตามปกติ แต่หากไม่สามารถปัสสาวะเองได้จะต้องใส่สายสวนปัสสาวะกลับบ้านไปด้วย และจะถอดสายสวนปัสสาวะอีกครั้งในวันที่นัดตรวจหลังผ่าตัด ประมาณ 1 สัปดาห์
- อุจจาระ หลังเปิดแผลสามารถขับถ่ายอุจจาระในห้องน้ำได้ หลังขับถ่ายให้เช็ดทำความสะอาดด้วยสำลี หรือกระดาษชำระ
การดูแลตัวเองเมื่อลับบ้าน
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะประกอบด้วยยา แก้อักเสบ ฆ่าเชื้อ ยาลดบวม ยาแก้ปวด เป็นหลัก หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงยาตามดุลยพินิจแพทย์
- การดูแลแผลผ่าตัด – ในกรณีไม่มีการตกแต่งภายนอก เป็นการต่อเฉพาะความลึกของช่องคลอดด้วยลำไส้ ให้ใช้เบตาดีนเช็ดแผลบริเวณด้านนอกเท่านั้นเช้า – เย็น ห้ามเช็ดภายใน – ในกรณีที่มีการตกแต่งภายนอกร่วมด้วย ให้เช็ดทำความสะอาดแผลด้านนอกและปากทางเข้าช่องคลอด เช้า – เย็น
- การดูแลและสวนล้างช่องคลอด – เตรียมน้ำยาทำความสะอาดแผล เบตาดีน 10 cc. + น้ำ 1 ลิตร – 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด : ใช้ลูกยางแดงสูบน้ำยาที่ผสมไว้ บีบล้างเฉพาะแผลด้านนอก 1- 2 ลูก วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น ห้ามล้างด้านใน – หลัง 2 สัปดาห์ : ใช้ลูกยางแดงสูบน้ำยาเบตาดีนที่ผสมไว้บีบล้างเข้าไปในช่องคลอด 1 – 2 ลูก วันละ 2 ครั้ง เช้า- เย็น ส่วน แผลด้านนอกให้เช็ดทำความสะอาดด้วย สำลีชุบเบตาดีน
- การขยายช่องคลอด – เริ่มขยายช่องคลอดหลังจากผ่าตัดได้ 2 สัปดาห์แล้ว โดยใช้แท่งเทียนเล็กขยายช่องคลอด วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที เท่านั้น เนื่องจากการผ่าตัดสร้างช่องคลอดโดยการใช้ลำไส้ โอกาสที่ช่องคลอดจะตันมีน้อยมาก แต่มักจะมีปัญหาเรื่องการตีบแคบเป็นส่วนใหญ่
- การมีเพศสัมพันธ์ – งดมีเพศสัมพันธ์ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยใช้ถุงยางอนามัย และจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ต้องใส่ถุงยางเมื่อหลังจากผ่าตัด 2 เดือนไปแล้ว
- การใส่ผ้าอนามัย – ควรใส่ผ้าอนามัยไว้ตลอดเวลาในช่วง 2 – 3 เดือนแรก หลังผ่าตัด เนื่องจากช่องคลอกใหม่ที่สร้างขึ้นจากลำไส้นั้นบริเวณผนังของช่องคลอดใหม่ จะมีน้ำเมือกไหลออกมาตลอดเวลา ซึ่งหลังจาก 2 – 3 เดือนไปแล้ว น้ำเมือกจะออกมาน้อยลงมาก ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าอนามัยก็ได้
- การขับถ่ายอุจจาระ – สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ตามปกติ