การดูดไขมันที่ใบหน้าเป็นการผ่าตัดที่มีการทำน้อยในประเทศไทยและเอเชีย เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปและอเมริกา เพราะอาหารและอากาศทำให้คนไทยมีปัญหาเรื่องโรคอ้วนน้อยกว่า อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าคนที่มีไขมันสะสมใต้คาง , คอ มีมากขึ้นเรื่อยๆ เทียบกับสมัยก่อน
การสะสมของไขมันที่ใบหน้าแบ่งเป็น 2 ระยะ
สารบัญ
- ในวัยรุ่น ในคนอ้วนมากตั้งแต่เด็กจะมีไขมันสะสมที่คอ , คาง , และแก้มมากตั้งแต่เด็ก โดยทั่วไปในวัยเด็ก เด็กมักไม่สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่เมื่อโตช่วงวัยรุ่นต้องใช้ชีวิตในสังคมและแต่งตัวมากขึ้น พบว่าตัวเองเริ่มมีปมด้อยเพราะถึงแม้ว่าจะลดน้ำหนัก ,บางครั้งส่วนคางและหน้าจะไม่ได้ลดลงได้มากจนสวยงามเท่าที่ต้องการ
- ในวัยผู้ใหญ่ ในคนที่มีอายุ 19 – 28 ปี ใบหน้าจะเรียวสวย เห็นโครงสร้างของกระดูกขากรรไกรและคอได้ชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไป 35 – 40 ปี จะเริ่มมีอาการหย่อนยานที่แก้มเล็กน้อย พร้อมกับมีการสะสมของไขมันที่คอและคาง ทำให้แนวกระดูกขากรรไกรเห็นไม่ชัดและรูปหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นคนอายุมากขึ้น โดยเริ่มจากมีไขมันสะสมบริเวณนี้เห็นได้ชัดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเพราะการสะสมไขมันในผู้หญิงเกิดตั้งแต่วัยรุ่น การสะสมของไขมันบริเวณส่วนล่างของใบหน้าทำให้ดูสูงอายุอย่างรวดเร็ว การดูดไขมันเพื่อให้รูปหน้าดูดีขึ้น สามารถทำได้ในอายุประมาณ (อายุ 30 – 40 ปี) นี้ เพราะความยืดหยุ่นของผิวหนังยังดีอยู่ การดูดไขมันที่ดีสามารถเปลี่ยนรูปหน้าได้ ดูหนุ่มหรือสาวขึ้นโดยที่มีแผลเป็นเล็กมากจึงถือเป็นเทคนิคหนึ่งที่เหมาะสมกับคนที่อายุยังไม่มากและผิวหนังยังไม่หย่อนยานมากเกินไป แต่ถ้าอายุเยอะมากๆ 60 ปีเริ่มมีผิวหนังยานลงแล้ว การดูดไขมันคงไม่เพียงพอต้องทำการผ่าตัดผิวหน้าโดยใช้การดึงหน้าร่วมด้วย
การดูดไขมันที่หน้าทำได้เฉพาะใบหน้าและลำคอ
- คาง โดยเฉพาะคอที่มีลักษณะเป็นสองชั้น
- คอ
- แก้ม ทั้งส่วนที่อยู่เหนือหรือใต้ต่อกระดูกขากรรไกร
โดยทั่วไปเราอาจไม่ดูดไขมันบริเวณหน้าผากหรือรอบๆดวงตา เพราะใบหน้าส่วนบนมักไม่เป็นที่สะสมของไขมันมากๆ ผู้ที่สามารถทำการดูดไขมันที่หน้าได้ ควรมีคุณสมบัติเหล่านี้
- มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ผลต่อการผ่าตัด
- มีไขมันสะสม บริเวณใบหน้าและลำคอ ในสัดส่วนที่มากกว่าส่วนอื่นของร่างกาย
- มีความยืดหยุ่นของผิวหน้าดี
- เข้าใจถึงผลของการผ่าตัดดูดไขมัน
จนเห็นได้ว่า การดูดไขมันที่ใบหน้าจะได้ผลดีในคนที่อายุไม่มาก แต่มีไขมันสะสมมากผิดปกติ โดยที่ยังมีการยืดหยุ่นของผิวหนังดี สามารถเกิดความตึงตัวได้มาก หลังการผ่าตัดดูดไขมันสามารถทำให้รูปหน้าเห็นโครงสร้างของกระดูกขากรรไกรได้ชัดเจน โดยที่ไม่มีรอยเหี่ยวย่นปรากฏมาก
เทคนิคการผ่าตัด
การผ่าตัดดูดไขมันโดยปกติจะแบ่งเป็นเทคนิคต่างๆแบบดั้งเดิมและแบบที่ใช้ อัลตร้าซาวน์ แต่เนื่องจาก อัลตร้าซาวน์ มีการเกิดความร้อนบริเวณใต้ผิวหน้า อาจมีผลทำให้เกิดการชาที่ใบหน้าได้นานจึงไม่เหมาะกับการดูดไขมันที่ใบหน้าการผ่าตัดบริเวณนี้ จึงมักใช้เทคนิคปกติ ซึ่งแบ่งได้เป็น
- DRY LIPOSUCTION เป็นการผ่าตัดที่ดูดไขมันหลังจากเปิดแผลเลย วิธีนี้ทำให้เลือดออกได้มากแต่เป็นวิธีที่ยังต้องใช้ในคนที่มีปัญหาเรื่องความดันและโรคหัวใจไม่สามารถฉีดยาชาผสมยาที่ทำให้เลือดหยุดได้
- WET FACIAL LIPOSUCTION เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่การฉีดสารหยุดเลือด ผสมกับยาชาไปที่ใต้ผิวหนัง ก่อนการดูดไขมัน การผ่าตัดทำโดยการเปิดแผลเล็กๆที่คาง, คอ หรือหน้า หู แล้วใส่ท่อเพื่อฉีดสารละลายเข้าไปก่อน เพื่อให้เส้นเลือดหดตัว แล้วจะเริ่มทำการดูดไขมันเทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ช่วยลดการเสียเลือดและลดปัญหาความไม่สม่ำเสมอของไขมันใต้ผิวหนังหลังการดูดไขมัน แต่การฉีดยาชาทำให้เส้นเลือดหดตัว(อดีนาลีน)มีผลทำให้ความดันสูงขึ้นและน้ำที่ฉีดเข้าไปก่อน จะเข้าไปสู่ระบบไหลเวียนโลหิตทำให้ความดันสูงขึ้นหัวใจทำงานหนักขึ้นจึงไม่ควรใช้เทคนิคนี้ในคนที่มีปัญหา โรคหัวใจและความดัน
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- ควรเตรียมตัวหยุดงานประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะโดยทั่วไปจะบวมมากประมาณ 3 วันและจะยุบบวม ถ้าเป็นไปได้ควรหยุดงานประมาณ 10 วัน
- งดยาต้านการอักเสบ[NSAID] เช่น แอสไพริน บุหรี่ อาหารเสริมบางตัวที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดเช่นกระเทียม น้ำมันปลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ก่อนผ่าตัด
- สมุนไพรบางชนิดเช่น อีฟนิ่งพริมโรส ยาวิตามินอีประมาณสูงๆอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส กระเทียม หัวหอม ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติหรือมีปัญหาระหว่างการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพราะอาจต้องหยุดสมุนไพรก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 3 – 5 วัน
- ควรมีเพื่อนมาด้วยในวันผ่าตัด
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัวของคุณ เช่นเบาหวาน,โรคหัวใจ และยาที่แพ้ เช่น เพนนิซิลิน ,ซัลฟา ฯลฯ
- ถอดวัสดุโลหะเช่น แหวน,สร้อยคอ,นาฬิกา ฯลฯ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด
- ควรงดสูบบุหรี่ 1 อาทิตย์ ก่อนการผ่าตัด ถ้าดื่มเหล้าควรงด 24 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- ทำการตกลงกับแพทย์ก่อนผ่าตัดถึงเทคนิคที่ต้องการใช้ผ่าตัดแผลที่จะเป็นทางเปิดใส่สายดูดไขมัน ซึ่งจะเกิดแผลเป็นภายหลังและตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมัน
- สำหรับผู้ที่จะวางยาสลบต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- สระผมตอนเช้าก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
การดูแลหลังการผ่าตัด
- นอนยกศรีษะสูงประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ เพื่อลดอาการบวมหลังผ่าตัด
- ทานยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบตามที่ให้
- ผ้าพันศรีษะจะพันไว้ประมาณ 1 วัน แต่มักมีอาการบวมมากอาจพันได้ 3 วัน
- ใช้ผ้าเกลือเช็ดแผลแล้วทาด้วยยาผสมยาปฎิชีวณะวันละ 1 ครั้ง
- นัดตัดไหมประมาณ 5 วัน
- ประคบเย็นที่คาง,คอ และแก้มทั้ง 2 ข้าง วันละ 4 ครั้ง เพื่อลดอาการบวมประมาณ 3 วัน
- ผ้าตาข่ายที่พันบริเวณในหน้านั้นปิดไว้เพียง 1 วัน เช้าวันรุ่งขึ้นให้ตัดหรือแกะออกจากนั้นสระผมได้ โดยเกาอย่างเบามือ เพื่อล้างคราบเลือดออก ซับแล้วเป่าผมให้แห้ง สามารถสระผมได้ทุกวันตามปกติ
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งถ้าเกิดอาการแพ้ยา เช่น มีผื่นแดง, คัน,คลื่นไส้,อาเจียน,
- แน่นหน้าอก ให้มาพบแพทย์ทันที
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ 2 อาทิตย์หลังการผ่าตัด
- ถ้ามีอาการเลือดออกมากผิดปกติ หรือบวมมากควรติดต่อแพทย์โดยทันที
- แต่งหน้าได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
- ถูกแดดได้ภายใน 6 เดือน โดยต้องทาครีมกันแดด
หมายเหตุ
- 2 อาทิตย์หลังทำผ่าตัดนั้น หากที่บริเวณแผลมีรอบเขียวช้ำสามารถประคบน้ำอุ่นได้ วันละประมาณ 2 ครั้ง (รอยฟกช้ำนั้นสามารถหายได้ตามธรรมชาติ)
- หลังทำผ่าตัดบริเวณคอ จะยังบวมอยู่ประมาณ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะหายเป็นปกติและอาการชาบริเวณใบหน้า , คอ จะหายไปเอง ประมาณ 6 เดือน หลังทำผ่าตัด เนื่องจากเส้นประสาทบริเวณใบหน้าถูกกระทบกระเทือน
- หลังผ่าตัดแล้ว หากพบไหมยังหลงเหลืออยู่ให้ดึงหรือตัดออกเอง
- นวดบริเวณใบหน้า (แก้ม,คาง 2 ข้าง) วันละ 2 ครั้ง เพื่อลดอาการบวม ,อาการแข็ง บริเวณแผลและให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวก
- รับประทานอาหาร , โดนแสงแรง ,ออกกำลังกายได้ตามปกติ