Scroll Top
sex reassignment

แปลงเพศชายเป็นหญิง

ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ

การผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง เป็นการผ่าตัดตกแต่งอวัยวะเพศภายนอก ให้เหมือนอวัยวะเพศหญิง และสร้างช่องคลอดใหม่ ด้วยเทคนิควิธีของแพทย์เฉพาะทาง จนปัจจุบันเทคนิควิธีการผ่าตัดได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้รูปร่างอวัยวะเพศที่สร้างขึ้นใหม่มีความคล้ายกับอวัยวะเพศหญิงมากขึ้น โดยที่รูปร่างภายนอกประกอบด้วย แคมนอก ( Labia Major) แคมใน ( Labia Minor) ปุ่มรับรู้ความรู้สึกเพศหญิง (Clitoris) และช่องคลอด (Vagina)  ซึ่งทาง BCS clinic มีแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีเทคนิคเฉพาะในการผ่าตัดที่นอกจากจำทำให้รูปร่างภายนอกคล้ายกับเพศหญิงมากแล้ว ด้านความรู้สึกและการรับสัมผัสต่างๆ ยังดีมากอีกด้วย

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง , การผ่าตัดแปลงเพศ

ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ไม่ว่าต้องการผ่าตัดด้วยเทคนิดวิธีใดก็ตาม ผู้ผ่าตัดจะต้องเข้ารับการตรวจจากจิตแพทย์ โดยต้องมีคุณสมบัติความพร้อมมาตรฐานโลกของสมาคม WPATH (World Professional  Association for Transgerder Health) ดังนี้

  1. ต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี บริบูรณ์ หากอายุยังไม่ถึง 20 ปี ต้องได้รับการยินยอมจากบิดา-มารดา
  2. ได้ดำรงชีวิตแบบหญิงติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยเป็นการใช้ชีวิตเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ที่คนรอบข้างยอมรับได้ และมีความสุข ไม่มีความกดดันใดๆ
  3. เคยรับฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนในรูปแบบยารับประทาน  หรือยาฉีดอย่างน้อย 1 ปี
  4. ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ จากจิตแพทย์ว่าอยู่ในภาวะปกติ และมีความพร้อมต่อการผ่าตัดแปลงเพศ พร้อมทั้งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น  Gender identify disorder  หรือ Gender dysphoria  และให้ใบรับรองสำหรับการผ่าตัดที่ถูกต้องตามหลักทดสอบสภาพจิต
  5. ผู้เข้ารับการผ่าตัด จะต้องมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคต้องห้ามสำหรับการผ่าตัด

ผู้ที่ไม่เหมาะที่จะทำการแปลงเพศ

  1. ป่วยเป็นโรคจิตเพศ (Schizophrenia) ไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตเป็นเพศหญิง แต่มีความหลงผิดว่าเป็นเพศหญิง สำหรับกลุ่มผู้ป่วยจิตเพศ จำเป็นต้องรับการดูแลจากจิตแพทย์อย่าไกล้ชิด
  2. มีภาวะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และยังมีอาการของโรคอยู่ เช่น ซิฟิลิส แผลริมอ่อน หูดหงอนไก่ เริม ในกลุ่มนี้ถ้าทำผ่าตัด อาจทำให้แผลผ่าตัดติดเชื้อและหายช้า
  3. มีโรคประจำตัวที่ไม่สามรถทำการผ่าตัดใหญ่ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ดี และแพทย์ประจำตัวไม่อนุญาตให้ผ่าตัดได้
  4. ภาวะภูมิต้านทานต่ำ ในผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องใช้สเตียลอยด์ขนาดสูง
  5. ในประเทศที่สังคมไม่ยอมรับและมีบทลงโทษทางกฎหมายย่างรุนแรง เช่น ประเทศในแอฟริกาแถบตะวันออก บางประเทศหลังผ่าตัดแล้วผู้ป่วยอาจไม่สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้

การปรึกษาแพทย์ก่อนแปลงเพศ

การปรึกษาแพทย์มักจะต้องเตรียมตัวดังนี้

  1. มีใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ 2 ท่าน ท่านละ 1 ใบ ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่ขอ (หากเป็นชาวต่างชาติ ต้องมีใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ประเทศนั้นๆมา 1 ใบ และมีใบรับรองแพทย์จากแพทย์ในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ใบ)
  2. ความลึกของช่องคลอดที่ต้องการ
  3. ลักษณะของแคมนอกและแคมใน ต้องการขนาดความเล็กหรือใหญ่
  4. ขนาดของปุ่มรับความรู้สึก             
โดยทั่วไป เทคนิคการผ่าตัดจะคล้ายคลึงกัน แต่จะมีความแตกต่างกันในส่วนรายละเอียด ซึ่งขึ้นกับอวัยวะเพศเดิมว่ามีเนื้อที่จะใช้มากหรือน้อย และขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้แต่ละคน

เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ

ดยทั่วไปในเทคนิคปัจจุบัน จะมีรายละเอียดของอวัยวะเพศภายนอก ได้แก่

แคมนอก          แคมใน          คลิตอริส          ท่อปัสสาวะ          ช่องคลอด

โดยแคมในและคลิตอริส เป็นส่วนที่มาจากส่วนปลายของอวัยวะเพศชายและหนังหุ้มอวัยวะเพศ โดยที่ศัลยแพทย์แต่ละท่านจะมีเทคนิคการทำคลิตอริสและแคมมในต่างกัน สำหรับส่วนที่เป็นแคมนอกมักใช้ผิวหนังบริเวณอัณฑะมาทำซ่งมักจำมีเทคนิคไกล้เคียงกัน โดยทั่วไป เทคนิคการผ่าตัดจะคล้ายคลึงกัน แต่จะมีความแตกต่างกันในส่วนของรายละเอียด ซึ่งขึ้นกับอวัยวะเดิมจะมีเนื้อเยื่อที่จะใช้มากหรือน้อย และขึ้นกับความต้องการของคนไข้แต่ละคน

เทคนิคที่ 1

การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังองคชาต (ไม่ใช้กราฟ) เป็นเทคนิคที่ทำง่ายไม่ซับซ้อน สำหรับผู้ที่มีความยาวขององคชาตน้อย ก็จะทำให้ความลึกน้อยลงตามไปด้วย<

เทคนิคที่ 2

การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังองคชาต และใช้ผิวหนังจากอัณฑะเทคนิควิธีนี้ ใช้ผิวหนังของอัณฑะมาทำเป็นหนังช่องคลอดต่อกับผิวหนังองคชาต จะทำให้ช่องคลอดที่สร้างขึ้นใหม่มีความลึกมากขึ้น 1 นิ้ว ต่อขาหนีบ 1 ข้าง

เทคนิคที่ 3

เป็นการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังองคชาต และใช้ผิวหนังจากอัณฑะ พร้อมทั้งใช้ผิวหนังจากหน้าท้อง หรือผิวหนังจากขาหนีบมาทำเป็นผนังช่องคลอด เทคนิควิธีนี้จะทำให้ช่องคลอดที่สร้างขึ้นมีความลึกเพิ่มขึ้น 2 นิ้ว

เทคนิคที่ 4

การสร้างช่องคลอดโดยการต่อลำไส้ เทคนิควิธีนี้ จะใช้ในกรณีที่หนังหุ้มองคชาตมีขนาดเล็กและสั้นมาก หรือทำในกรณีแก้ไขในรายที่เคยผ่าตัดแปลงเพศจากเทคนิคปกติ แล้วมีปัญหาช่องคลอดแคบหรือตื้นเกินไป จนไม่สามารถร่วมเพศได้

เทคนิคพิเศษของทางบางกอกศัลยกรรม

เทคนิคพิเศษ BCS: เป็นการพัฒนามาจากเทคนิคที่ 2 โดยจะมีรายละเอียดภายนอก และภายในมากขึ้น ดังนี้

    1. ลักษณะบริเวณใต้ปากช่องคลอดเดิมจะเป็นสีของผิวหนัง แต่ด้วยเทคนิคใหม่ของ BCS สามารถทำให้บริเวณปากช่องคลอดเป็นเนื้อเยื่ออ่อนสีชมพู ทำให้มีลักษณะคล้ายกับปากช่องคลอดของจริงมากขึ้น
    2. BCS สามารถใช้ทางเดินปัสสาวะส่วนหน้ามาต่อเป็นความลึกได้ จึงสามารถให้ความลึกของช่องคลอดเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1-2 นิ้ว นอกจากนั้นยังมีความพิเศษ คือ ด้วยลักษณะปกติของทางเดินปัสสาวะส่วนหน้านั้นมีความลื่น ดังนั้นเมื่อนำมาทำเป็นช่องคลอดแล้วจะมีความลื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จะทำให้การร่วมเพศง่ายขึ้นกว่าเทคนิคเดิม
    3. เทคนิคใหม่มีการลดขนาดของเนื้อเยื่ออ่อนที่บริเวณใต้คลิตอริสให้มีขนาดแคบลง ทำให้ความห่างของด้านในของแคมในน้อยลง ทำให้มีลักษณะคล้ายแคมในของผู้หญิงมากยิ่งขึ้น
    4. เทคนิคใหม่ใช้หนังอัณฑะมาต่อเพื่อเพิ่มความลึกโดยที่เก็บเส้นเลือดและเส้นประสาทบริเวณผิวหนังอัณฑะไว้ จึงทำให้ผนังของช่องคลอดด้านล่างมีความรู้สึกได้ จึงช่วยให้มีความรู้สึกดีขึ้นในการร่วมเพศ และสามารถช่วยให้ถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น
    5. BCS ใช้เทคนิคพิเศษ สามารถทำในแคมในมีลักษณะที่เล็กและยาวจนมาถึงส่วนล่าง และทำให้ปกปิดปากช่องคลอดซึ่งเทคนิคแบบเดิมไม่สามารถทำได้ และด้วยแคมในมีลักษณะดังที่กล่าวมาสามารถยาวจนมาปิดด้านล่างปากช่องคลอดได้เกือบทั้งหมดทำให้มีลักษณะคล้ายเพศหญิงมาก และมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
    6. BCS สามารถทำให้คลิตอริสมีรูปร่างกลมคล้ายเพศหญิง และยังมีส่วนล่างของคลิตอริสทำให้การรับความรู้สึกมีเพิ่มขึ้น และยังใช้เทคนิคพิเศษโดยการนำผนังด้านหลังของท่อปัสสาวะที่ต่อกับต่อมลูกหมากทำให้มีความรู้สึกดีขึ้น บริเวณด้านหน้าของช่องคลอดมีผลทำให้การร่วมเพศมีความรู้สึกดีขึ้น
    7. ใต้ปุ่มคลิตอริสมีเนื้อเยื่อลงมาปิดให้มีรูปร่างเหมือนกับของคลิตอริสในผู้หญิงจริง

สามารถอ่านรายละเอียดเทคนิคเพิ่มเติมได้ ที่นี่

อุปกรณ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัดแปลงเพศ

เนื่องจากเทคนิคของเราใช้เวลาผ่าตัดนาน เพราะมีโครงสร้างที่ทำมากกว่าเดิมมาก การดมยาสลบในท่าทีขึ้นขาหยั่งนานจะมีความเสี่ยงเรื่อง แผลกดทับและภาวะลิ่มเลือดอุดตัน  ดังนั้นอุปกรณ์ในการลดภาวะแทรกซ้อนที่ใช้ในการผ่าตัดได้แก่

  • อุปกรณ์ปั้มลม ป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน เพราะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดดำขณะขึ้นขาหยั่ง
  • เจลรองใต้เข่า อุปกรณ์ปั้มลมมีหน้าที่เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดแต่ไม่ช่วยลดอาการกดทับของกล้ามเนื้อ การใช้เจลที่หนากว่าปกติจะช่วยลดแรงกดทับของกล้ามเนื้อขา
  • หมอนเจลรองศรีษะ ช่วยลดแรงกดด้านหลังของศรีษะในท่าที่นอนหงายอยู่นาน
  • warmer ระยะเวลาการผ่าตัด เพื่อให้อุณภูมิร่างกายไม่ต่ำเกินไป   ลดปัญหาเลือดออกหลังการผ่าตัด

เลเซอร์กำจัดขนก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ

บริเวณของอัญฑะส่วนล่างตำแหน่งที่อยู่เหนือทวารหนัก เป็นส่วนที่จะนำมาใช้เป็นผนังด้านล่างของช่องคลอดหลังแปลงเพศ เป็นส่วนที่มีขนถ้าอยู่ในช่องคลอดจะทำความสะอาดได้ยากและไม่เป็นธรรมชาติ กาารกำจัดขนโดยใช้เลเซอร์ ควรทำก่อนการแปลงเพศโดยทั่วไปจะแนะนำให้ทำประมาณ 3-4 ครั้ง เลเซอร์ที่ใช้เป็น ND-YAG LASER ตำแหน่งที่กำจัดขนเป็นตำแหน่งดังรูป

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศ

  • งดน้ำและอาหารตามแพทย์สั่ง 8 ชั่วโมง ก่อนการผ่าตัด
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนการผ่าตัด
  • หยุดใช้ยาฮอร์โมน 4 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด ทุกชนิด
  • ในกรณีที่มีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาประจำ ให้แจ้งแพทย์ในวันที่นัดปรึกษา เนื่องจากยาบางชนิดอาจต้องแจ้งให้วิสัญญีแพทย์ทราบก่อนการผ่าตัด
  • ยาที่แนะนำให้หยุดทานก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์ ได้แก่ ยากลุ่ม แอสไพรินหรือบลูเฟน วิตามินอี สมุนไพรบางชนิด เช่น กระเทียม ใบแปะก๊วย เนื่องจากยาและสมุนไพรดังกล่าวมีผลทำให้เลือดออกง่าย
  • ควรงดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนผ่าตัด 4-6 สัปดาห์
  • ควรลาหยุดงาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อสำหรับการผ่าตัด และการพักฟื้นหลังผ่าตัด
  • ควรมีญาติมาด้วยในวันผ่าตัด เพราะ 1-2 วันแรกจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี และไม่ควรขับรถมาเองในวันผ่าตัด
  • ควรอาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อนผ่าตัด เนื่องจากหลังผ่าตัดจะไม่สามารถอาบน้ำได้ประมาณ 6 วัน
  • ไม่ควรนำสิ่งของมีค่าติดตัวมาในวันผ่าตัด
  • นำหนังสือที่ชอบอ่าน หรือ DVD ที่ชอบดู เตรียมไปที่โรงพยาบาล เพื่อใช้ในช่วงหลังผ่าตัดวันที่ 3 และ 4
  • เตรียมเสื้อผ้าที่ใส่หลังผ่าตัด ควรเตรียมกระโปรงหลวมๆ ไม่ควรใส่กางเกงเพราะจะทำให้เจ็บแผล
  • ในวันก่อนผ่าตัดถ้าเป็นไข้หวัด หรือไม่สบายควรเลื่อนการผ่าตัดไปก่อน
  • ถ้ามีโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น หูดหงอนไก่ เริม แผลริมอ่อน ควรรักษาให้หายก่อนนัดผ่าตัด เนื่องจากหลังผ่าตัดการรักษาการติดเชื้อทำได้ยาก

ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ

  1. ก่อนผ่าตัดแพทย์จะนัดมาโรงพยาบาลก่อนผ่าตัดประมาณ 6 ชั่งโมง เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาดโดยอาจใช้การสวนลำไส้ใหญ่ หรืออาจใช้ยากินเพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาดก่อนการผ่าตัด
  2. ทำการสร้างช่องคลอดใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณทวารหนัก และอยู่ใต้ท่อปัสสาวะ โดยมีความกว้างประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว จะได้ช่องคลอดเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ และตัดท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่สามารถนั่งปัสสาวะได้
  3. ตัดอัณฑะทั้ง 2 ข้าง
  4. ดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยะวัเพศชายไปเป็นผนังช่องคลอดโดยหนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจากหนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวอวัยวะเพศชายเดิม โดยทั่วไป อาจเพิ่มความลึกต่อโดยต่อด้วยหนังหุ้มอัณฑะ หรือตามเทคนิควิธีการที่ตกลงกับแพทย์ไว้ก่อนผ่าตัด
  5. ตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด แคมนอก (Labia Major) โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูกอัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้วนำหนังและเนื้อเยื่อรอบๆมาตกแต่งเพื่อสร้างรูปร่างภายนอกของแคมนอก (Labia Major) ส่วนแคมใน (Labia Minor) ได้มาจากหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ สำหรับตกแต่งอวัยวะเพศภายนอก
  6. การตกแต่งประสาทรับรู้ความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกของเพศหญิง เรียกว่าปุ่มคลิทอริส (Clitoris) โดยใช้ปลายอวัยะเพศสำหรับการตกแต่ง
  7. ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 7-8 ชั่วโมง

การดูแลหลังผ่าตัดแปลงเพศ

การดูแลหลังผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล

หลังการผ่าตัด แพทย์จะให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 6 คืน 7 วัน เพื่ออยู่ในความดูแลของพทย์อย่างไกล้ชิด และในช่วงเวลานั้น แพทย์จะได้แนะนำวิธีการปฎิบัติตนที่ถูกต้อง ดังนี้

  1. อาการปวด ในวันแรกหลังการผ่าตัดจะเป็นวันที่ปวดแผลมาก โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาแก้ปวดตามเวลา แต่ถ้าปวดมากสามารถขอยาแก้ปวดเพิ่มได้
  2. การเคลื่อนไหว หลังจากการผ่าตัดต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา ห้ามลุกเดินจนกว่าจะถึงเวลาที่แพทย์กำหนดไว้ และทำการลุกเดินได้หลังจากทำการเปิดแผลผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในขณะนอนบนเตียงตลอดเวลา อาจมีอการปวดเมื่อย สามารถพลิกบนเตียงได้ตามความเหมาะสม หรืออาจจะใช้หมอนหรือห่วงยางรองก้นได้เพื่อลดความเมื่อยล้า
  3. อาหาร ควรงดอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ทุกไม้ทุกชนิด และเครื่องดื่มประเภทนม และที่มีส่วนผสมของนมทุกชนิด ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาล ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่ายในวันแรก ส่วนในวันถัดไปสามารถทานอาหารธรรมดาได้
  4. การขับถ่าย
    1. ปัสสาวะ
      หลังการผ่าตัด แพทย์จะคาสายสวนปัสสาวะไว้ อาจทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลาในระยะแรก เนื่องจากมีลูกโป่งในกระเพาะปัสสาวะ อาการดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน หลังจากการผ่าตัด
    2. อุจจาระ
      หลังการผ่าตัด แพทย์จะใส่ผ้าก๊อสไว้แน่นในโพรงช่องคลอด ผ้าก๊อสจะอยู่ที่ด้านหน้าท่อทวารหนัก และจะกดช่องทวารหนัก จะทำให้รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ โดยที่ไม่มีอุจจาระในช่องทวารหนักโดยทั่วไปอาการนี้จะเริ่มดีขึ้นภายใน 1-2 วัน หลังผ่าตัด และอาการจะหายไปเมื่อถอดผ้าก๊อสที่อยู่ในช่องคลอดออก หากต้องการขับถ่ายอุจจาระจะต้องขับถ่ายอุจจาระบนเตียงเท่านั้น และหลังจากการ
    3. อาการปัสสาวะไม่ได้
      หลังจากการถอดสายปัสสาวะออกแล้ว ไม่สามารถปัสสาวะเองได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว เกิดในเฉพาะบางรายที่มีอาการบวมของเนื้อเยื่อรอบๆ ของท่อปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะไม่ได้ แพทย์จะแก้ไขโดยการใส่สายสวนปัสสาวะต่ออีกประมาณ 1 สัปดาห์ รอจนกว่าเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ ยุบบวมลง แพทย์จึงนีดมาถอดสายสวนปัสสาวะอีกครั้ง จากนั้นจะสามารถปัสสาวะเองได้ตามปกติ

การดูแลหลังผ่าตัดเมื่อกลับบ้าน

  1. การรับประทานยา ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาทั่วไปประกอบด้วย
    1. ยาแก้อักเสบ
    2. ยาฆ่าเชื้อ
    3. ยาลดอาการปวด
    4. ยาลดบวม หรือตามแต่ดุลยพินิจของแพทย์
  2. การดูแลแผลผ่าตัด
    1. แผลผ่าตัดระยะแรกจะมีลักษณะบวม ระยะเวลาการหายขึ้นอยู่กับบุคคล โดยทั่วไปอาการเขียวจะหายภายใน 2 สัปดาห์ อาการบวมจะค่อยๆ ยุบลงประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ แผลผ่าตัดจะเย็บโดยใช้ไหมละลายและไหมที่ต้องตัด ซึ่งแพทย์จะนัดตัดไหมประมาณ 2 สัปดาห์ หลังผ่าตัด หรือขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล ตามแต่ดุลยพินิจของแพทย์
    2. การทำความสะอาดแผล  ใช้สำลีชุบ Betadine ทาแผลภายนอกบริเวณแคมนอก (Labia Major) และแคมใน (Labia minor) คลิทอริส (Clitoris) และรูเปิดของท่อปัสสาวะ จากนั้นโรยด้วยผงโรยแผล Banocin วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
  3. การมีเพศสัมพันธ์
    1. 1-4 สัปดาห์แรก ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด
    2. หลัง 4 สัปดาห์ มีเพศสัมพันธ์ได้ โดยต้องสวมถุงยางอนามัย และ Jelly หล่อลื่นในการร่วมเพศทุกครั้ง เพื่อลดการเสียดสี ซึ่งอาจจะทำให้เกิดบาดแผล และมีเลือดออกได้
    3. หลัง 8 สัปดาห์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ต้องสวมถุงยางอนามัยได้
  4. การใช้ฮอร์โมน
    หากแผลผ่าตัดไม่มีปัญหา สามารถเริ่มรับประทานฮอร์โมน ได้ 2 สัปดาห์ หลังผ่าตัด โดยทั่วไปหลังจากแปลงเพศสามารถลดการใช้ฮอร์โมนลงจากเดิมได้ เนื่องจากการผ่าตัดได้มีการตัดอัณฑะที่ผลิตฮอร์โมนเพศชายแล้ว
  5. กิจกรรมและการออกกำลังกาย
    เนื่องจากการผ่าตัดแปลงเพศเป็นการผ่าตัดใหญ่ หลังผ่าตัดควรหยุดพักที่บ้านประมาณ 2 สัปดาห์ และกิจกรรมหนักๆ ควรงดอย่างน้อย 4 สัปดาห์
  6. ในช่วงสัปดาห์แรก ควรเตรียมผ้าอนามัยแบบห่วงและแบบกาวเพื่อเปลี่ยน ประมาณ 2-3 ครั้ง ต่อวัน เพื่อซับเลือดเก่าที่ค้างอยู่ในช่องคลอด และดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดแปลงเพศ

  1. ทิศทางการปัสสาวะ
    ในระยะแรกเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะยังบวมมาก เวลาปัสสาวะมักจะไม่พุ่งเป็นสาย แต่จะกระจายรอบๆ ทำให้เปื้อนต้นขาได้ แต่หลังจากเนื้อเยื่อตรงท่อปัสสาวะยุบบวมลงปัสสาวะจะพุ่งเป็นสายเหมือนปกติ
  2. การปิดแผล
    ในสัปดาห์แรก หลังการขยายช่องคลอด และการสวนล้าง จะมีน้ำเหลืองและเลือดออกมาจากแผลได้ โดยเฉพาะเวลาที่เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายืน ในสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่ 2 จะต้องใส่ผ้าอนามัยไว้ตลอดเวลาก่อน ในสัปดาห์ที่ 1-3 ควรใช้ผ้าอนามัยแบบห่วง เพราะถอดใส่ง่าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้แบบแถบกาวได้
  3. อาการชา
    ะหว่างผ่าตัดอาจมีการกระทบกระเทือนเส้นประสาท ทำให้รู้สึกชารอบๆ แผลได้ อาจมีความรู้สึกแปลบๆ รอบๆ แผล อาการชาโดยทั่วไปจะดีขึ้น 2-3 เดือน อาการจากการกระทบกระเทือนที่เส้นประสาทจะเริ่มหายดีขึ้น
  4. อารมณ์และความรู้สึก
    หลังการผ่าตัดแปลงเพศ  จะมีการเปลี่ยน แปลงฮอร์โมนของเพศชายทันที ทำให้มีผลต่ออารมณ์ ของบางคนอาจมีอารมณ์เปลี่ยนไปเร็ว อาการเหล่านี้จะเป็นชั่วคราวและจะกลับมาเป็นปกติหลังจากเริ่มฮอร์โมนใหม่
  5. ความรู้สึกหลังการผ่าตัด5.1 สำหรับเทคนิคการผ่าตัดของ BCS คลิทอริส (Clitolis) ซึ่งเป็นอวัยวะรับความรู้สึกจะอยู่เหนือท่อปัสสาวะ และอยู่ระหว่างแคมในทั้ง 2 ข้าง ตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งรับความรู้สึกได้มากที่สุด ซึ่งถ้ามีการกระตุ้นในบริเวณนี้จะถึงจุดสุดยอดได้ ในบางคนหลังผ่าตัด 1-2 สัปดาห์แรก อาจมีความรู้สึกลดลง เนื่องจากการที่เนื้อเยื่อต่างๆ บวม และกดเส้นประสาทรับความรู้สึก ความรู้สึกของเส้นประสาทจะกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ โดยที่จะมีความรู้สึกเป็นปกติประมาณสัปดาห์ที่ 3-45.2  ในผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศสารหล่อลื่นจะมาจากท่อปัสสาวะและผนังช่องคลอด โดยมาจากต่อมลูกหมากและต่อม คาวเปอร์ที่ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งโดยทั่วไปสารหล่อลื่นเหล่านี้จะไม่เพียงพอสำหรับการร่วมเพศ ดังนั้นก่อนการร่วมเพศจะต้องเตรียมสารหล่อลื่น5.3 หลังการผ่าตัดแปลงเพศแล้วระยะหนึ่ง ต่อมหมวกไตในบางคนอาจมาสามารถสร้างฮอร์โมนให้เพียงพอต่อการกระตุ้นทางเพศและการบรรลุจุดสุดยอด ถ้าในบางรายอาจมีการสร้างฮอร์โมนน้อยเกินไป ต้องใช้เทสโทสเตอโรนในปริมาณน้อยๆ ช่วยหรืหยุดใช้ฮอร์โมนเพศหญิง5.4 การถึงจุดสุดยอด จะมีลักษณะคล้ายการถึงจุดสุดยอดเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่แปลงเพศ สามารถถึงจุดสุดยอดได้หลายครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และวุฒิภาวะของแต่ละคน5.5 ในการถึงจุดสุดยอดในเพศหญิง โดยทั่วไปจะมีการคัดหลั่งออกข้างช่องคลอด แต่ในผู้ที่ทำการแปลงเพศ ช่องคลอดจะมีผิวหนังจึงไม่มีสารคัดหลั่งและสารหล่อลื่นเพียงพอ ดังนั้นในการร่วมเพศจำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่นเพิ่ขึ้น สำหรับผู้ที่แปลงเพศโดยทั่วไปจะยังคงมีต่อมที่สร้างสารหล่อลื่นและต่อมลูกหมากอยู่ ในขณะที่ถึงจุดสุดยอด สารคัดหลั่งต่างๆ จะออกมาทางท่อปัสสาวะไม่ได้ออกมาทางผนังช่องคลอดใหม่เหมือนผู้หญิง และปริมาณสารคัดหลั่งที่ออกมาก็มีประมาณน้อยกว่าในเพศหญิง
  6. ช่องคลอดตื้นขึ้น
    หลังผ่าตัดระยะแรก ช่องคลอดมักมีความลึก 5-6 นิ้ว หลังจาก 4-6 เดือน ความลึกของช่องคลอดมักลึกขึ้นอีก ประมาณ 1 นิ้ว ในกรณีที่ช่องคลอดตื้นมาก สามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัดโดยการต่อลำไส้ใหญ่ ซึ่งสามารถทำได้ประมาณ 6 เดือนหลังจากการผ่าตัดครั้งแรก
  7. ช่องคลอดแคบ
    ปัญหาจากการขยายช่องคลอดไม่ได้ตั้งแต่หลังผ่าตัด การแก้ไขอาการโดยใช้อุปกรณ์ขยายความกว้างของช่องคลอด ซึ่งมีสภาพเป็นลูกโป่งสามารถขยายให้กว้างขึ้นได้ สำหรับอุปกรณ์ดังตัวอย่างสามารถสั่งซื้อได้ที่ Ladyboyshop.com ในบางรายที่มีช่องคลอดแคบมาก หรือใช้อุปกรณ์ขยาย ไม่ดีขึ้นอาจต้องผ่าตัดโดยใช้เทคนิคทางศัลยกรรมช่วยขยายให้ช่องคลอดกว้างขึ้นได้
  8. ปัญหาเรื่องเลือดออก
    นช่วง 1-5 วันแรก หลังเปิดแผลอาจมีเลือดออกทางท่อปัสสาวะ ถ้ามีเลือดออกให้ผ้าก๊อสหรือผ้าอนามัยกดที่บริเวณมีเลือดออก โดยทั่วไปเลือดสามารถหยุดได้เอง ถ้าเลือดไม่หยุดให้ติดต่อปรึกษาแพทย์ได้

การขยายช่องคลอดหลังการผ่าตัดแปลงเพศ

การขยายช่องคลอดหลังการผ่าตัดนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการดูแลหลังผ่าตัด เนื่องจากว่าการใช้ผิวหนังอวัยวะ หรือการใช้กราฟของช่องคลอดที่สร้างใหม่จะหดตื้นขึ้น การขยายช่องคลอดต้องทำทุกวันเป็นเวลา 2 ปี หรืออย่างน้อย 6 เดือน ยกเว้นกรณีมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ อาจจะไม่ต้องทำการขยายช่องคลอดก็สามารถทำได้ โดยทิศทางการใส่แท่งเทียนขยายช่องคลอดนั้นทำได้โดยใส่แท่งเทียนเข้าไปตรงๆ ประมาณ 2 ใน 3 ของแท่งเทียน แล้วเปลี่ยนทิศทางของแท่งเทียนตามแนวโค้งของกระดูกสันหลัง

วิธีการขยายช่องคลอด

  1. นอนตัวตรง หนุนหมอน 1-2 ใบ
  2. ชันเข่า 2 ข้าง แยกขา 2 ข้าง ออกกว้างๆ
  3. ใส่แท่งเทียนเข้าไปในช่องคลอดจนสุดความลึก และดันแท่งเทียนไม่ให้ขยับ
  4. เหยียดขา 2 ข้างลง ในขณะที่แท่งเทียนยังอยู่ในช่องคลอด
  5. นอนอยู่ในท่า (ข้อ 4) นาน 30 นาที
  6. ตั้งเข่าขึ้น 2 ข้าง ค่อยๆ ดึงแท่งเทียนออก
  7. ทำการสวนล้างช่องคลอด

วิธีการสวนล้างเพื่อทำความสะอาดช่องคลอด

การสวนล้าง ควรทำวันละ 2 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดลดการติดเชื้อและลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ โดยจะทำการสวนล้างเช้า – เย็น หลังจากได้ทำการขยายช่องคลอดเรียบร้อยแล้ว สำหรับน้ำยาที่สามสารถใช้ในการสวนล้างมี 2 ชนิด คือ

  1. Betadine จะใช้ในช่วงเวลา 1 -2 เดือนแรก โดยใช้ Betadine 10 cc. + น้ำ 1 ลิตร ในภาชนะที่สะอาด
  2. Detal (สูตรปกติ) จะใช้ในช่วงเวลาหลังจากการผ่าตัดไปแล้ว 2 เดือน เนื่องจาก Detal นั้น จะใช้ได้เมื่อแผลหายสนิทดีแล้ว โดยใช้ Detal 1 cc. น้ำ 1 ลิตร

อุปกรณ์สำหรับใช้สวนล้างและวิธีสวนล้าง

• ลูกยางแดง •

วิธีใช้ บีบลูกยางแดงจุ่มในน้ำยาสวนล้างที่ผสมตามอัตราส่วนแล้ว สูบน้ำยาให้เต็มลูกยางแดง สอดปลายลูกยางแดงเข้าไปในช่องคลอด บีบน้ำยาสวนล้างเข้าไปแรงๆทีเดียวจนหมดลูก น้ำยาที่ถูกฉีดเข้าไปจะไหลออกมาเอง ทำแบบเดิมจนน้ำยาที่ผสมไว้หมด จากนั้นล้างเก็บลูกยางแดง และภาชนะให้สะอาด

 ถุงสวนล้าง •

วิธีใช้ ปิดตัวหนีบสายไว้ เทน้ำยาที่ผสมตามอัตราส่วนแล้วใส่ในถุงสวนล้าง แขวนถุงให้สูง สอดปลายสายสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดจนสุด ปล่อยตัวหนีบสาย น้ำยาจะไหลเข้าไปในช่องคลอด และไหลออกมาเองจนหมด ล้างเก็บถุงสวนล้างให้สะอาดและตากในที่แห้ง

หมายเหตุ ขณะทำการสวนล้างทั้ง 2 วิธี ควรนั่งเอนตัว ทำในชักโครก เพราะน้ำที่ไหลจากช่องคลอดจะไหลลง ไปในชักโครก

สามารถดู Review ศัลยกรรมแปลงเพศ ได้ที่ Review.bcsclinic.com

Privacy Preferences
When you visit our website, it may store information through your browser from specific services, usually in form of cookies. Here you can change your privacy preferences. Please note that blocking some types of cookies may impact your experience on our website and the services we offer.