ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง เป็นการผ่าตัดตกแต่งอวัยวะเพศภายนอก ให้เหมือนอวัยวะเพศหญิง และสร้างช่องคลอดใหม่ ด้วยเทคนิควิธีของแพทย์เฉพาะทาง จนปัจจุบันเทคนิควิธีการผ่าตัดได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้รูปร่างอวัยวะเพศที่สร้างขึ้นใหม่มีความคล้ายกับอวัยวะเพศหญิงมากขึ้น โดยที่รูปร่างภายนอกประกอบด้วย แคมนอก ( Labia Major) แคมใน ( Labia Minor) ปุ่มรับรู้ความรู้สึกเพศหญิง (Clitoris) และช่องคลอด (Vagina) ซึ่งทาง BCS clinic มีแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีเทคนิคเฉพาะในการผ่าตัดที่นอกจากจำทำให้รูปร่างภายนอกคล้ายกับเพศหญิงมากแล้ว ด้านความรู้สึกและการรับสัมผัสต่างๆ ยังดีมากอีกด้วย
คุณสมบัติของผู้ที่ต้องการแปลงเพศ
สารบัญ
ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ไม่ว่าต้องการผ่าตัดด้วยเทคนิดวิธีใดก็ตาม ผู้ผ่าตัดจะต้องเข้ารับการตรวจจากจิตแพทย์ โดยต้องมีคุณสมบัติความพร้อมมาตรฐานโลกของสมาคม WPATH (World Professional Association for Transgerder Health) ดังนี้
- ต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี บริบูรณ์ หากอายุยังไม่ถึง 20 ปี ต้องได้รับการยินยอมจากบิดา-มารดา
- ได้ดำรงชีวิตแบบหญิงติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยเป็นการใช้ชีวิตเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ที่คนรอบข้างยอมรับได้ และมีความสุข ไม่มีความกดดันใดๆ
- เคยรับฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนในรูปแบบยารับประทาน หรือยาฉีดอย่างน้อย 1 ปี
- ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ จากจิตแพทย์ว่าอยู่ในภาวะปกติ และมีความพร้อมต่อการผ่าตัดแปลงเพศ พร้อมทั้งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Gender identify disorder หรือ Gender dysphoria และให้ใบรับรองสำหรับการผ่าตัดที่ถูกต้องตามหลักทดสอบสภาพจิต
- ผู้เข้ารับการผ่าตัด จะต้องมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคต้องห้ามสำหรับการผ่าตัด
ผู้ที่ไม่เหมาะที่จะทำการแปลงเพศ
- ป่วยเป็นโรคจิตเพศ (Schizophrenia) ไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตเป็นเพศหญิง แต่มีความหลงผิดว่าเป็นเพศหญิง สำหรับกลุ่มผู้ป่วยจิตเพศ จำเป็นต้องรับการดูแลจากจิตแพทย์อย่าไกล้ชิด
- มีภาวะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และยังมีอาการของโรคอยู่ เช่น ซิฟิลิส แผลริมอ่อน หูดหงอนไก่ เริม ในกลุ่มนี้ถ้าทำผ่าตัด อาจทำให้แผลผ่าตัดติดเชื้อและหายช้า
- มีโรคประจำตัวที่ไม่สามรถทำการผ่าตัดใหญ่ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ดี และแพทย์ประจำตัวไม่อนุญาตให้ผ่าตัดได้
- ภาวะภูมิต้านทานต่ำ ในผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องใช้สเตียลอยด์ขนาดสูง
- ในประเทศที่สังคมไม่ยอมรับและมีบทลงโทษทางกฎหมายย่างรุนแรง เช่น ประเทศในแอฟริกาแถบตะวันออก บางประเทศหลังผ่าตัดแล้วผู้ป่วยอาจไม่สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้
การปรึกษาแพทย์ก่อนแปลงเพศ
การปรึกษาแพทย์มักจะต้องเตรียมตัวดังนี้
- มีใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ 2 ท่าน ท่านละ 1 ใบ ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่ขอ (หากเป็นชาวต่างชาติ ต้องมีใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ประเทศนั้นๆมา 1 ใบ และมีใบรับรองแพทย์จากแพทย์ในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ใบ)
- ความลึกของช่องคลอดที่ต้องการ
- ลักษณะของแคมนอกและแคมใน ต้องการขนาดความเล็กหรือใหญ่
- ขนาดของปุ่มรับความรู้สึก
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ
ดยทั่วไปในเทคนิคปัจจุบัน จะมีรายละเอียดของอวัยวะเพศภายนอก ได้แก่
โดยแคมในและคลิตอริส เป็นส่วนที่มาจากส่วนปลายของอวัยวะเพศชายและหนังหุ้มอวัยวะเพศ โดยที่ศัลยแพทย์แต่ละท่านจะมีเทคนิคการทำคลิตอริสและแคมมในต่างกัน สำหรับส่วนที่เป็นแคมนอกมักใช้ผิวหนังบริเวณอัณฑะมาทำซ่งมักจำมีเทคนิคไกล้เคียงกัน โดยทั่วไป เทคนิคการผ่าตัดจะคล้ายคลึงกัน แต่จะมีความแตกต่างกันในส่วนของรายละเอียด ซึ่งขึ้นกับอวัยวะเดิมจะมีเนื้อเยื่อที่จะใช้มากหรือน้อย และขึ้นกับความต้องการของคนไข้แต่ละคน
เทคนิคที่ 1
การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังองคชาต (ไม่ใช้กราฟ) เป็นเทคนิคที่ทำง่ายไม่ซับซ้อน สำหรับผู้ที่มีความยาวขององคชาตน้อย ก็จะทำให้ความลึกน้อยลงตามไปด้วย<
เทคนิคที่ 2
การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังองคชาต และใช้ผิวหนังจากอัณฑะเทคนิควิธีนี้ ใช้ผิวหนังของอัณฑะมาทำเป็นหนังช่องคลอดต่อกับผิวหนังองคชาต จะทำให้ช่องคลอดที่สร้างขึ้นใหม่มีความลึกมากขึ้น 1 นิ้ว ต่อขาหนีบ 1 ข้าง
เทคนิคที่ 3
เป็นการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังองคชาต และใช้ผิวหนังจากอัณฑะ พร้อมทั้งใช้ผิวหนังจากหน้าท้อง หรือผิวหนังจากขาหนีบมาทำเป็นผนังช่องคลอด เทคนิควิธีนี้จะทำให้ช่องคลอดที่สร้างขึ้นมีความลึกเพิ่มขึ้น 2 นิ้ว
เทคนิคที่ 4
การสร้างช่องคลอดโดยการต่อลำไส้ เทคนิควิธีนี้ จะใช้ในกรณีที่หนังหุ้มองคชาตมีขนาดเล็กและสั้นมาก หรือทำในกรณีแก้ไขในรายที่เคยผ่าตัดแปลงเพศจากเทคนิคปกติ แล้วมีปัญหาช่องคลอดแคบหรือตื้นเกินไป จนไม่สามารถร่วมเพศได้
เทคนิคพิเศษของทางบางกอกศัลยกรรม
เทคนิคพิเศษ BCS: เป็นการพัฒนามาจากเทคนิคที่ 2 โดยจะมีรายละเอียดภายนอก และภายในมากขึ้น ดังนี้
-
- ลักษณะบริเวณใต้ปากช่องคลอดเดิมจะเป็นสีของผิวหนัง แต่ด้วยเทคนิคใหม่ของ BCS สามารถทำให้บริเวณปากช่องคลอดเป็นเนื้อเยื่ออ่อนสีชมพู ทำให้มีลักษณะคล้ายกับปากช่องคลอดของจริงมากขึ้น
- BCS สามารถใช้ทางเดินปัสสาวะส่วนหน้ามาต่อเป็นความลึกได้ จึงสามารถให้ความลึกของช่องคลอดเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1-2 นิ้ว นอกจากนั้นยังมีความพิเศษ คือ ด้วยลักษณะปกติของทางเดินปัสสาวะส่วนหน้านั้นมีความลื่น ดังนั้นเมื่อนำมาทำเป็นช่องคลอดแล้วจะมีความลื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จะทำให้การร่วมเพศง่ายขึ้นกว่าเทคนิคเดิม
- เทคนิคใหม่มีการลดขนาดของเนื้อเยื่ออ่อนที่บริเวณใต้คลิตอริสให้มีขนาดแคบลง ทำให้ความห่างของด้านในของแคมในน้อยลง ทำให้มีลักษณะคล้ายแคมในของผู้หญิงมากยิ่งขึ้น
- เทคนิคใหม่ใช้หนังอัณฑะมาต่อเพื่อเพิ่มความลึกโดยที่เก็บเส้นเลือดและเส้นประสาทบริเวณผิวหนังอัณฑะไว้ จึงทำให้ผนังของช่องคลอดด้านล่างมีความรู้สึกได้ จึงช่วยให้มีความรู้สึกดีขึ้นในการร่วมเพศ และสามารถช่วยให้ถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น
- BCS ใช้เทคนิคพิเศษ สามารถทำในแคมในมีลักษณะที่เล็กและยาวจนมาถึงส่วนล่าง และทำให้ปกปิดปากช่องคลอดซึ่งเทคนิคแบบเดิมไม่สามารถทำได้ และด้วยแคมในมีลักษณะดังที่กล่าวมาสามารถยาวจนมาปิดด้านล่างปากช่องคลอดได้เกือบทั้งหมดทำให้มีลักษณะคล้ายเพศหญิงมาก และมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
- BCS สามารถทำให้คลิตอริสมีรูปร่างกลมคล้ายเพศหญิง และยังมีส่วนล่างของคลิตอริสทำให้การรับความรู้สึกมีเพิ่มขึ้น และยังใช้เทคนิคพิเศษโดยการนำผนังด้านหลังของท่อปัสสาวะที่ต่อกับต่อมลูกหมากทำให้มีความรู้สึกดีขึ้น บริเวณด้านหน้าของช่องคลอดมีผลทำให้การร่วมเพศมีความรู้สึกดีขึ้น
- ใต้ปุ่มคลิตอริสมีเนื้อเยื่อลงมาปิดให้มีรูปร่างเหมือนกับของคลิตอริสในผู้หญิงจริง
สามารถอ่านรายละเอียดเทคนิคเพิ่มเติมได้ ที่นี่
อุปกรณ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัดแปลงเพศ
เนื่องจากเทคนิคของเราใช้เวลาผ่าตัดนาน เพราะมีโครงสร้างที่ทำมากกว่าเดิมมาก การดมยาสลบในท่าทีขึ้นขาหยั่งนานจะมีความเสี่ยงเรื่อง แผลกดทับและภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ดังนั้นอุปกรณ์ในการลดภาวะแทรกซ้อนที่ใช้ในการผ่าตัดได้แก่
- อุปกรณ์ปั้มลม ป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน เพราะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดดำขณะขึ้นขาหยั่ง
- เจลรองใต้เข่า อุปกรณ์ปั้มลมมีหน้าที่เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดแต่ไม่ช่วยลดอาการกดทับของกล้ามเนื้อ การใช้เจลที่หนากว่าปกติจะช่วยลดแรงกดทับของกล้ามเนื้อขา
- หมอนเจลรองศรีษะ ช่วยลดแรงกดด้านหลังของศรีษะในท่าที่นอนหงายอยู่นาน
- warmer ระยะเวลาการผ่าตัด เพื่อให้อุณภูมิร่างกายไม่ต่ำเกินไป ลดปัญหาเลือดออกหลังการผ่าตัด
เลเซอร์กำจัดขนก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ
บริเวณของอัญฑะส่วนล่างตำแหน่งที่อยู่เหนือทวารหนัก เป็นส่วนที่จะนำมาใช้เป็นผนังด้านล่างของช่องคลอดหลังแปลงเพศ เป็นส่วนที่มีขนถ้าอยู่ในช่องคลอดจะทำความสะอาดได้ยากและไม่เป็นธรรมชาติ กาารกำจัดขนโดยใช้เลเซอร์ ควรทำก่อนการแปลงเพศโดยทั่วไปจะแนะนำให้ทำประมาณ 3-4 ครั้ง เลเซอร์ที่ใช้เป็น ND-YAG LASER ตำแหน่งที่กำจัดขนเป็นตำแหน่งดังรูป
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
- งดน้ำและอาหารตามแพทย์สั่ง 8 ชั่วโมง ก่อนการผ่าตัด
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนการผ่าตัด
- หยุดใช้ยาฮอร์โมน 4 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด ทุกชนิด
- ในกรณีที่มีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาประจำ ให้แจ้งแพทย์ในวันที่นัดปรึกษา เนื่องจากยาบางชนิดอาจต้องแจ้งให้วิสัญญีแพทย์ทราบก่อนการผ่าตัด
- ยาที่แนะนำให้หยุดทานก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์ ได้แก่ ยากลุ่ม แอสไพรินหรือบลูเฟน วิตามินอี สมุนไพรบางชนิด เช่น กระเทียม ใบแปะก๊วย เนื่องจากยาและสมุนไพรดังกล่าวมีผลทำให้เลือดออกง่าย
- ควรงดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนผ่าตัด 4-6 สัปดาห์
- ควรลาหยุดงาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อสำหรับการผ่าตัด และการพักฟื้นหลังผ่าตัด
- ควรมีญาติมาด้วยในวันผ่าตัด เพราะ 1-2 วันแรกจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี และไม่ควรขับรถมาเองในวันผ่าตัด
- ควรอาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อนผ่าตัด เนื่องจากหลังผ่าตัดจะไม่สามารถอาบน้ำได้ประมาณ 6 วัน
- ไม่ควรนำสิ่งของมีค่าติดตัวมาในวันผ่าตัด
- นำหนังสือที่ชอบอ่าน หรือ DVD ที่ชอบดู เตรียมไปที่โรงพยาบาล เพื่อใช้ในช่วงหลังผ่าตัดวันที่ 3 และ 4
- เตรียมเสื้อผ้าที่ใส่หลังผ่าตัด ควรเตรียมกระโปรงหลวมๆ ไม่ควรใส่กางเกงเพราะจะทำให้เจ็บแผล
- ในวันก่อนผ่าตัดถ้าเป็นไข้หวัด หรือไม่สบายควรเลื่อนการผ่าตัดไปก่อน
- ถ้ามีโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น หูดหงอนไก่ เริม แผลริมอ่อน ควรรักษาให้หายก่อนนัดผ่าตัด เนื่องจากหลังผ่าตัดการรักษาการติดเชื้อทำได้ยาก
ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ
- ก่อนผ่าตัดแพทย์จะนัดมาโรงพยาบาลก่อนผ่าตัดประมาณ 6 ชั่งโมง เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาดโดยอาจใช้การสวนลำไส้ใหญ่ หรืออาจใช้ยากินเพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาดก่อนการผ่าตัด
- ทำการสร้างช่องคลอดใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณทวารหนัก และอยู่ใต้ท่อปัสสาวะ โดยมีความกว้างประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว จะได้ช่องคลอดเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ และตัดท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่สามารถนั่งปัสสาวะได้
- ตัดอัณฑะทั้ง 2 ข้าง
- ดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยะวัเพศชายไปเป็นผนังช่องคลอดโดยหนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจากหนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวอวัยวะเพศชายเดิม โดยทั่วไป อาจเพิ่มความลึกต่อโดยต่อด้วยหนังหุ้มอัณฑะ หรือตามเทคนิควิธีการที่ตกลงกับแพทย์ไว้ก่อนผ่าตัด
- ตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด แคมนอก (Labia Major) โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูกอัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้วนำหนังและเนื้อเยื่อรอบๆมาตกแต่งเพื่อสร้างรูปร่างภายนอกของแคมนอก (Labia Major) ส่วนแคมใน (Labia Minor) ได้มาจากหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ สำหรับตกแต่งอวัยวะเพศภายนอก
- การตกแต่งประสาทรับรู้ความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกของเพศหญิง เรียกว่าปุ่มคลิทอริส (Clitoris) โดยใช้ปลายอวัยะเพศสำหรับการตกแต่ง
- ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 7-8 ชั่วโมง
การดูแลหลังผ่าตัดแปลงเพศ
การดูแลหลังผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล
หลังการผ่าตัด แพทย์จะให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 6 คืน 7 วัน เพื่ออยู่ในความดูแลของพทย์อย่างไกล้ชิด และในช่วงเวลานั้น แพทย์จะได้แนะนำวิธีการปฎิบัติตนที่ถูกต้อง ดังนี้
- อาการปวด ในวันแรกหลังการผ่าตัดจะเป็นวันที่ปวดแผลมาก โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาแก้ปวดตามเวลา แต่ถ้าปวดมากสามารถขอยาแก้ปวดเพิ่มได้
- การเคลื่อนไหว หลังจากการผ่าตัดต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา ห้ามลุกเดินจนกว่าจะถึงเวลาที่แพทย์กำหนดไว้ และทำการลุกเดินได้หลังจากทำการเปิดแผลผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในขณะนอนบนเตียงตลอดเวลา อาจมีอการปวดเมื่อย สามารถพลิกบนเตียงได้ตามความเหมาะสม หรืออาจจะใช้หมอนหรือห่วงยางรองก้นได้เพื่อลดความเมื่อยล้า
- อาหาร ควรงดอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ทุกไม้ทุกชนิด และเครื่องดื่มประเภทนม และที่มีส่วนผสมของนมทุกชนิด ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาล ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่ายในวันแรก ส่วนในวันถัดไปสามารถทานอาหารธรรมดาได้
- การขับถ่าย
- ปัสสาวะ
หลังการผ่าตัด แพทย์จะคาสายสวนปัสสาวะไว้ อาจทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลาในระยะแรก เนื่องจากมีลูกโป่งในกระเพาะปัสสาวะ อาการดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน หลังจากการผ่าตัด - อุจจาระ
หลังการผ่าตัด แพทย์จะใส่ผ้าก๊อสไว้แน่นในโพรงช่องคลอด ผ้าก๊อสจะอยู่ที่ด้านหน้าท่อทวารหนัก และจะกดช่องทวารหนัก จะทำให้รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ โดยที่ไม่มีอุจจาระในช่องทวารหนักโดยทั่วไปอาการนี้จะเริ่มดีขึ้นภายใน 1-2 วัน หลังผ่าตัด และอาการจะหายไปเมื่อถอดผ้าก๊อสที่อยู่ในช่องคลอดออก หากต้องการขับถ่ายอุจจาระจะต้องขับถ่ายอุจจาระบนเตียงเท่านั้น และหลังจากการ - อาการปัสสาวะไม่ได้
หลังจากการถอดสายปัสสาวะออกแล้ว ไม่สามารถปัสสาวะเองได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว เกิดในเฉพาะบางรายที่มีอาการบวมของเนื้อเยื่อรอบๆ ของท่อปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะไม่ได้ แพทย์จะแก้ไขโดยการใส่สายสวนปัสสาวะต่ออีกประมาณ 1 สัปดาห์ รอจนกว่าเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ ยุบบวมลง แพทย์จึงนีดมาถอดสายสวนปัสสาวะอีกครั้ง จากนั้นจะสามารถปัสสาวะเองได้ตามปกติ
- ปัสสาวะ
การดูแลหลังผ่าตัดเมื่อกลับบ้าน
- การรับประทานยา ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาทั่วไปประกอบด้วย
- ยาแก้อักเสบ
- ยาฆ่าเชื้อ
- ยาลดอาการปวด
- ยาลดบวม หรือตามแต่ดุลยพินิจของแพทย์
- การดูแลแผลผ่าตัด
- แผลผ่าตัดระยะแรกจะมีลักษณะบวม ระยะเวลาการหายขึ้นอยู่กับบุคคล โดยทั่วไปอาการเขียวจะหายภายใน 2 สัปดาห์ อาการบวมจะค่อยๆ ยุบลงประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ แผลผ่าตัดจะเย็บโดยใช้ไหมละลายและไหมที่ต้องตัด ซึ่งแพทย์จะนัดตัดไหมประมาณ 2 สัปดาห์ หลังผ่าตัด หรือขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล ตามแต่ดุลยพินิจของแพทย์
- การทำความสะอาดแผล ใช้สำลีชุบ Betadine ทาแผลภายนอกบริเวณแคมนอก (Labia Major) และแคมใน (Labia minor) คลิทอริส (Clitoris) และรูเปิดของท่อปัสสาวะ จากนั้นโรยด้วยผงโรยแผล Banocin วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
- การมีเพศสัมพันธ์
- 1-4 สัปดาห์แรก ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด
- หลัง 4 สัปดาห์ มีเพศสัมพันธ์ได้ โดยต้องสวมถุงยางอนามัย และ Jelly หล่อลื่นในการร่วมเพศทุกครั้ง เพื่อลดการเสียดสี ซึ่งอาจจะทำให้เกิดบาดแผล และมีเลือดออกได้
- หลัง 8 สัปดาห์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ต้องสวมถุงยางอนามัยได้
- การใช้ฮอร์โมน
หากแผลผ่าตัดไม่มีปัญหา สามารถเริ่มรับประทานฮอร์โมน ได้ 2 สัปดาห์ หลังผ่าตัด โดยทั่วไปหลังจากแปลงเพศสามารถลดการใช้ฮอร์โมนลงจากเดิมได้ เนื่องจากการผ่าตัดได้มีการตัดอัณฑะที่ผลิตฮอร์โมนเพศชายแล้ว - กิจกรรมและการออกกำลังกาย
เนื่องจากการผ่าตัดแปลงเพศเป็นการผ่าตัดใหญ่ หลังผ่าตัดควรหยุดพักที่บ้านประมาณ 2 สัปดาห์ และกิจกรรมหนักๆ ควรงดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ - ในช่วงสัปดาห์แรก ควรเตรียมผ้าอนามัยแบบห่วงและแบบกาวเพื่อเปลี่ยน ประมาณ 2-3 ครั้ง ต่อวัน เพื่อซับเลือดเก่าที่ค้างอยู่ในช่องคลอด และดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดแปลงเพศ
- ทิศทางการปัสสาวะ
ในระยะแรกเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะยังบวมมาก เวลาปัสสาวะมักจะไม่พุ่งเป็นสาย แต่จะกระจายรอบๆ ทำให้เปื้อนต้นขาได้ แต่หลังจากเนื้อเยื่อตรงท่อปัสสาวะยุบบวมลงปัสสาวะจะพุ่งเป็นสายเหมือนปกติ - การปิดแผล
ในสัปดาห์แรก หลังการขยายช่องคลอด และการสวนล้าง จะมีน้ำเหลืองและเลือดออกมาจากแผลได้ โดยเฉพาะเวลาที่เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายืน ในสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่ 2 จะต้องใส่ผ้าอนามัยไว้ตลอดเวลาก่อน ในสัปดาห์ที่ 1-3 ควรใช้ผ้าอนามัยแบบห่วง เพราะถอดใส่ง่าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้แบบแถบกาวได้ - อาการชา
ะหว่างผ่าตัดอาจมีการกระทบกระเทือนเส้นประสาท ทำให้รู้สึกชารอบๆ แผลได้ อาจมีความรู้สึกแปลบๆ รอบๆ แผล อาการชาโดยทั่วไปจะดีขึ้น 2-3 เดือน อาการจากการกระทบกระเทือนที่เส้นประสาทจะเริ่มหายดีขึ้น - อารมณ์และความรู้สึก
หลังการผ่าตัดแปลงเพศ จะมีการเปลี่ยน แปลงฮอร์โมนของเพศชายทันที ทำให้มีผลต่ออารมณ์ ของบางคนอาจมีอารมณ์เปลี่ยนไปเร็ว อาการเหล่านี้จะเป็นชั่วคราวและจะกลับมาเป็นปกติหลังจากเริ่มฮอร์โมนใหม่ - ความรู้สึกหลังการผ่าตัด5.1 สำหรับเทคนิคการผ่าตัดของ BCS คลิทอริส (Clitolis) ซึ่งเป็นอวัยวะรับความรู้สึกจะอยู่เหนือท่อปัสสาวะ และอยู่ระหว่างแคมในทั้ง 2 ข้าง ตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งรับความรู้สึกได้มากที่สุด ซึ่งถ้ามีการกระตุ้นในบริเวณนี้จะถึงจุดสุดยอดได้ ในบางคนหลังผ่าตัด 1-2 สัปดาห์แรก อาจมีความรู้สึกลดลง เนื่องจากการที่เนื้อเยื่อต่างๆ บวม และกดเส้นประสาทรับความรู้สึก ความรู้สึกของเส้นประสาทจะกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ โดยที่จะมีความรู้สึกเป็นปกติประมาณสัปดาห์ที่ 3-45.2 ในผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศสารหล่อลื่นจะมาจากท่อปัสสาวะและผนังช่องคลอด โดยมาจากต่อมลูกหมากและต่อม คาวเปอร์ที่ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งโดยทั่วไปสารหล่อลื่นเหล่านี้จะไม่เพียงพอสำหรับการร่วมเพศ ดังนั้นก่อนการร่วมเพศจะต้องเตรียมสารหล่อลื่น5.3 หลังการผ่าตัดแปลงเพศแล้วระยะหนึ่ง ต่อมหมวกไตในบางคนอาจมาสามารถสร้างฮอร์โมนให้เพียงพอต่อการกระตุ้นทางเพศและการบรรลุจุดสุดยอด ถ้าในบางรายอาจมีการสร้างฮอร์โมนน้อยเกินไป ต้องใช้เทสโทสเตอโรนในปริมาณน้อยๆ ช่วยหรืหยุดใช้ฮอร์โมนเพศหญิง5.4 การถึงจุดสุดยอด จะมีลักษณะคล้ายการถึงจุดสุดยอดเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่แปลงเพศ สามารถถึงจุดสุดยอดได้หลายครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และวุฒิภาวะของแต่ละคน5.5 ในการถึงจุดสุดยอดในเพศหญิง โดยทั่วไปจะมีการคัดหลั่งออกข้างช่องคลอด แต่ในผู้ที่ทำการแปลงเพศ ช่องคลอดจะมีผิวหนังจึงไม่มีสารคัดหลั่งและสารหล่อลื่นเพียงพอ ดังนั้นในการร่วมเพศจำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่นเพิ่ขึ้น สำหรับผู้ที่แปลงเพศโดยทั่วไปจะยังคงมีต่อมที่สร้างสารหล่อลื่นและต่อมลูกหมากอยู่ ในขณะที่ถึงจุดสุดยอด สารคัดหลั่งต่างๆ จะออกมาทางท่อปัสสาวะไม่ได้ออกมาทางผนังช่องคลอดใหม่เหมือนผู้หญิง และปริมาณสารคัดหลั่งที่ออกมาก็มีประมาณน้อยกว่าในเพศหญิง
- ช่องคลอดตื้นขึ้น
หลังผ่าตัดระยะแรก ช่องคลอดมักมีความลึก 5-6 นิ้ว หลังจาก 4-6 เดือน ความลึกของช่องคลอดมักลึกขึ้นอีก ประมาณ 1 นิ้ว ในกรณีที่ช่องคลอดตื้นมาก สามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัดโดยการต่อลำไส้ใหญ่ ซึ่งสามารถทำได้ประมาณ 6 เดือนหลังจากการผ่าตัดครั้งแรก - ช่องคลอดแคบ
ปัญหาจากการขยายช่องคลอดไม่ได้ตั้งแต่หลังผ่าตัด การแก้ไขอาการโดยใช้อุปกรณ์ขยายความกว้างของช่องคลอด ซึ่งมีสภาพเป็นลูกโป่งสามารถขยายให้กว้างขึ้นได้ สำหรับอุปกรณ์ดังตัวอย่างสามารถสั่งซื้อได้ที่ Ladyboyshop.com ในบางรายที่มีช่องคลอดแคบมาก หรือใช้อุปกรณ์ขยาย ไม่ดีขึ้นอาจต้องผ่าตัดโดยใช้เทคนิคทางศัลยกรรมช่วยขยายให้ช่องคลอดกว้างขึ้นได้ - ปัญหาเรื่องเลือดออก
นช่วง 1-5 วันแรก หลังเปิดแผลอาจมีเลือดออกทางท่อปัสสาวะ ถ้ามีเลือดออกให้ผ้าก๊อสหรือผ้าอนามัยกดที่บริเวณมีเลือดออก โดยทั่วไปเลือดสามารถหยุดได้เอง ถ้าเลือดไม่หยุดให้ติดต่อปรึกษาแพทย์ได้
การขยายช่องคลอดหลังการผ่าตัดแปลงเพศ
การขยายช่องคลอดหลังการผ่าตัดนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการดูแลหลังผ่าตัด เนื่องจากว่าการใช้ผิวหนังอวัยวะ หรือการใช้กราฟของช่องคลอดที่สร้างใหม่จะหดตื้นขึ้น การขยายช่องคลอดต้องทำทุกวันเป็นเวลา 2 ปี หรืออย่างน้อย 6 เดือน ยกเว้นกรณีมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ อาจจะไม่ต้องทำการขยายช่องคลอดก็สามารถทำได้ โดยทิศทางการใส่แท่งเทียนขยายช่องคลอดนั้นทำได้โดยใส่แท่งเทียนเข้าไปตรงๆ ประมาณ 2 ใน 3 ของแท่งเทียน แล้วเปลี่ยนทิศทางของแท่งเทียนตามแนวโค้งของกระดูกสันหลัง
วิธีการขยายช่องคลอด
- นอนตัวตรง หนุนหมอน 1-2 ใบ
- ชันเข่า 2 ข้าง แยกขา 2 ข้าง ออกกว้างๆ
- ใส่แท่งเทียนเข้าไปในช่องคลอดจนสุดความลึก และดันแท่งเทียนไม่ให้ขยับ
- เหยียดขา 2 ข้างลง ในขณะที่แท่งเทียนยังอยู่ในช่องคลอด
- นอนอยู่ในท่า (ข้อ 4) นาน 30 นาที
- ตั้งเข่าขึ้น 2 ข้าง ค่อยๆ ดึงแท่งเทียนออก
- ทำการสวนล้างช่องคลอด
วิธีการสวนล้างเพื่อทำความสะอาดช่องคลอด
การสวนล้าง ควรทำวันละ 2 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดลดการติดเชื้อและลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ โดยจะทำการสวนล้างเช้า – เย็น หลังจากได้ทำการขยายช่องคลอดเรียบร้อยแล้ว สำหรับน้ำยาที่สามสารถใช้ในการสวนล้างมี 2 ชนิด คือ
- Betadine จะใช้ในช่วงเวลา 1 -2 เดือนแรก โดยใช้ Betadine 10 cc. + น้ำ 1 ลิตร ในภาชนะที่สะอาด
- Detal (สูตรปกติ) จะใช้ในช่วงเวลาหลังจากการผ่าตัดไปแล้ว 2 เดือน เนื่องจาก Detal นั้น จะใช้ได้เมื่อแผลหายสนิทดีแล้ว โดยใช้ Detal 1 cc. น้ำ 1 ลิตร
อุปกรณ์สำหรับใช้สวนล้างและวิธีสวนล้าง
• ลูกยางแดง •
วิธีใช้ บีบลูกยางแดงจุ่มในน้ำยาสวนล้างที่ผสมตามอัตราส่วนแล้ว สูบน้ำยาให้เต็มลูกยางแดง สอดปลายลูกยางแดงเข้าไปในช่องคลอด บีบน้ำยาสวนล้างเข้าไปแรงๆทีเดียวจนหมดลูก น้ำยาที่ถูกฉีดเข้าไปจะไหลออกมาเอง ทำแบบเดิมจนน้ำยาที่ผสมไว้หมด จากนั้นล้างเก็บลูกยางแดง และภาชนะให้สะอาด
• ถุงสวนล้าง •
วิธีใช้ ปิดตัวหนีบสายไว้ เทน้ำยาที่ผสมตามอัตราส่วนแล้วใส่ในถุงสวนล้าง แขวนถุงให้สูง สอดปลายสายสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดจนสุด ปล่อยตัวหนีบสาย น้ำยาจะไหลเข้าไปในช่องคลอด และไหลออกมาเองจนหมด ล้างเก็บถุงสวนล้างให้สะอาดและตากในที่แห้ง
หมายเหตุ ขณะทำการสวนล้างทั้ง 2 วิธี ควรนั่งเอนตัว ทำในชักโครก เพราะน้ำที่ไหลจากช่องคลอดจะไหลลง ไปในชักโครก