เป็นการผ่าตัดที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินตรงบริเวณที่ไม่ต้องการ เช่น ท้องน้อย ต้นขา สะโพก เข่า แขน คาง แก้ม และคอ ฯลฯ การดูดไขมันเป็นการลดสัดส่วนเฉพาะที่ ไม่ใช่การลดน้ำหนัก เพื่อให้รูปร่างแต่ละส่วนนั้นๆ ดูดีขึ้น หลายคนคิดว่าถ้าดูดไขมันแล้วจะผอมลงมากคงต้องบอกว่าดูดไขมันครั้งเดียว แล้วจะผอมไม่เป็นความจริง วิธีนี้จึงไม่เหมาะสำหรับคนอ้วนหรือถ้าคนอ้วนก็จะต้องลดน้ำหนักลงเสียก่อน กระทั่งสามารถรักษาน้ำหนักตัวคงที่เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี จนเหลือไขมันส่วนเกินเฉพาะที่
นอกจากนี้คุณยังควรมีผิวหนังที่ยืดหยุ่น ไม่ลายหรือหย่อนยานเพื่อว่าหลังจากดูดไขมันแล้วผิวหนังคุณจะได้หดตามได้ เพราะถ้าผิวหนังยืดหยุ่นได้ไม่ดี หลังการดูดไขมัน ผิวหนังก็จะหย่อนยานมากขึ้น ดังนั้น การดูดไขมันควรที่จะทำในคนที่อายุไม่มากเกินไป อย่างไรก็ตามถ้ายอมรับได้ในบางตำแหน่ง ว่าสามารถยอมรับการหย่อนยานเล็กน้อยเช่นด้านข้างๆ หน้าท้องก็สามารถทำผ่าตัดได้
เทคนิคการดูดไขมันในปัจจุบัน
สารบัญ
การผ่าตัดดูดไขมันเป็นการผ่าตัดที่เกิดขึ้นไม่นานในโลก มีการผ่าตัดโดยการใช้ท่อดูดไขมันแบบปัจจุบันในปี 1978 หรือประมาณ 35 ปีเท่านั้นเองหลังจากการผ่าตัดครั้งแรกยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ จึงมีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดร่วมถึงการพัฒนาหัวดูดไขมันและเทคนิคที่ทำร่วม กับการดูดไขมันให้ปลอดภัย จึงทำให้เทคนิคในปัจจุบันมีความหลากหลายมากกว่าเดิมมาก ในระยะแรกการพัฒนาเรื่องเทคนิคการดูดไขมันแต่ในระยะหลังจะเป็นการพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ดูดมากกว่าสำหรับเทคนิคการดูดไขมัน มีดังนี้
1. เทคนิคดั้งเดิม [CLASSICAL TECHNIQUE]
เป็นการดูดไขมันระยะแรกที่ทำกันก่อนที่จะมีการคิดค้นเรื่องการฉีดน้ำเกลือโดยแยกเป็น 2 วิธี คือ
DRY TECHNIQUE
เป็น เทคนิคที่ใช้หัวดูดไขมันโดยตรงไม่ต้องฉีดสารใดเข้าไปก่อน เทคนิคนี้มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดอื่นๆเช่นการตัดไขมันหน้าท้อง ข้อเสีย ของเทคนิคนี้คือมีโอกาสเสียเลือดและเกิดความไม่สม่ำเสมอได้มากจึงไม่นิยมทำ กัน
WET TECHNIQUE
แพทย์จะฉีดยาชาผสมกับสารที่ทำให้เลือดหยุดก่อนใส่สายดูดไขมันออกมา
2. เทคนิคแบบใหม่ [MODERN TECHNIQUE] แบ่งเป็น
เครื่องดูดไขมันที่มีการสั่นได้ [POWER ASSITIED LIPOSUCTION VIBROLIPO]
เป็น เครื่องดูดไขมันที่มีการเลื่อนเข้าออกได้ในตัวเองโดยการสั่น เครื่องสั่นจะทำงานโดยใช้ปั๊มลมหรือไฟฟ้า ช่วยทุ่นแรงในการดูดไขมันลดเวลาผ่าตัดและลดการเกิดคลื่นที่ผิวหนัง
เทคนิคที่มีการฉีดน้ำเกลือ [TUMESCENT /SUPER WET TECHNIOUE / CLASSIC TUMESCENT]
ทำ โดยการฉีดน้ำเกลือผสมกับยาชาและอดินาลีน ฉีดเข้าไปในบริเวณที่จะดูดไขมันก่อนเทคนิคนี้ สามารถใช้หัวดูดขนาดเล็กๆ (1-3 mm) ได้ช่วยลดอาการเสียเลือด และลดการเกิดคลื่นหลังผ่าตัดได้มากขึ้น เทคนิคนี้เป็นเทคนิคมาตรฐานในปัจจุบัน
เครื่องดูดไขมันร่วมกับเลเซอร์ [Laser Assisted liposuction ,Smart lipo]
เป็นการใช้เลเซอร์ละลายไขมัน เลเซอร์ที่ใช้เป็น NDYAG โดยหัวเลเซอร์ติดอยู่ที่ปลายท่อเช่นเดียวกับอัลตร้าซาวด์ โดยทั่วไปอาจใช้เลเซอร์ละลายไขมันและดูดออกแต่ใช้บริเวณเล็กๆสามารถใช้ เลเซอร์เข้าไปละลายโดยไม่ดูดไขมัน เนื่องจากไขมันที่ละลายจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เอง ถ้าใช้เลเซอร์เข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังและช่วยให้ผิวหน้าตึงมาก
การดูดไขมันร่วมกับการฉีดน้ำ [WATE R ASSISTED LIPOSUCTION WATER JET]
เป็นการดูดที่ใช้หัวดูดซึ่งเป็นท่อที่มี 2 รู รูด้านในเป็นรูทำหน้าที่ปล่อยน้ำเกลือผสมยาชารูด้านนอกเป็นรูสำหรับดูดไขมัน การฉีดน้ำช่วยแยกเซลล์ไขมันออกจากเซลล์ใต้ผิวหนังและ
ถูกดูดผ่านท่อดูดไขมันทันที อย่างไรก็ตามการใช้แบบฉีดน้ำเพิ่งเริ่มมีการใช้ประมาณ 4-5 ปี ผลของการดูดยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าดีกว่าแบบเดิมหรือไม่
การใช้อัลตร้าซาวด์ [ULTRASOUND ASSISTED LIPOSUCTION /UAL]
หรือเครื่องที่นำมาใช้ได้แก่เมื่อ 10 ปีก่อน มีการใช้อัลตราซาวน์ภายนอกโดยใช้หัวอัลตราซาวด์วางที่ผิวหนังที่จะดูดก่อนที่จะเริ่มทำการดูดเพื่อทำให้ไขมันแตกตัวแล้วจะค่อยทำ การดูด ในปัจจุบันมีการทำหัวอัลตราซาวด์ตัดที่ปลายท่อที่ทำเหมือนกับท่อดูดไขมันโดย การผ่าตัดจะมีการฉีดน้ำเกลือเหมือนกับเทคนิค A ก่อนแล้วสอดท่ออัลตราซาวด์ไปเป็นส่งผ่านพลังงานในการละลายไขมันแล้วจึงทำการ ดูดไขมัน ข้อดีของ การใช้อัลตราซาวด์ช่วยลดอาการบวมและอาการปวดหลังผ่าตัดอย่างไรก็ตามเนื่อง จากอัลตราซาวด์มีการส่งผ่านความร้อนเข้าไปในช่องผิวหนังต้องระมัดระวังไม่ ควรใช้เวลานานเกินไปและต้องระวังการใช้ในส่วนที่มีเส้นประสาทสำคัญเช่นคอและ ใบหน้า เทคนิคการใช้อัลตราซาวด์ยังเป็นเทคนิคที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่หลาย บริษัทจึงมีความหลากหลายในเรื่องเครื่องมือและยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องความ ปลอดภัยของการผ่าตัดและข้อจำกัดของเทคนิค ในกรณีที่ต้องการดูดไขมันมากๆ อาจไม่เหมาะจะใช้อัลตราซาวน์เพราะมีความร้อนในร่างกายมากจะทำให้มีการสูญ เสียน้ำและเกลือแร่หลังการผ่าตัดมีผลต่อระบบไหลเวียนเลือดได้
เทคนิคการผ่าตัด
เทคนิคการดูดไขมันที่ใช้ที่คลินิคมีดังนี้้
1. WET TECHNIQUE
ในกรณีที่ดุดไขมันในพื้นที่ขนาดเล็กอาจทำโดยการฉีดยาชาผสมอดีนาริน ในบริเวณนั้นๆ แล้วทำการดูดไขมันออกได้เลย
2. เทคนิคที่ใช้การฉีดน้ำเกลือ [TUMESCENT TECHNIQUE]
เป็น เทคนิคมาตรฐานที่ใช้บ่อยที่สุด อาจไม่ต้องวางยาสลบ ถ้าดูดไม่มาก แต่ถ้าต้องการดูดหลายตำแหน่งต้องดมยาสลบ การผ่าตัดทำโดยการเปิดแผลที่รอบพับที่ซ่อนแผลเป็นได้ ฉีดน้ำเกลือผสมอดีนารินแล้วรอระยะหนึ่งแล้วจะดูดไขมันโดยใช้เครื่องดูดไขมัน ข้อดีของวิธีนี้คือลดความเจ็บปวด ลดการสูญเสียเลือด, ลดปัญหาการที่ผิวหนัง ไม่สม่ำเสมอ
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- ไปพบศัลยแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพ ลักษณะผิวหนังและไขมันสะสม
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว เช่นความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หอบหืด
- งดยาที่ทำให้เลือดหยุดช้า เช่น แอสไพริน บูรา บวดหาย ทัมใจ ฯลฯ
- อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนมาพบแพทย์
- งดอาหารอย่างน้อย 6 ชม.
- ควรหลีกเลี่ยงการผ่าตัดช่วงที่มีประจำเดือน
- ถ้าความดันสูงควรควบคุมความดัน ให้อยู่ต่ำกว่า 140/90 mm Hg (มิลลิเมตร ปรอท)
เนื่องจากการผ่าตัดทำให้เสียเลือดบางส่วน - ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดูดไขมันปริมาณมากๆ เนื่องจากการผ่าตัด
ทำให้เสียเลือดมาก ทำให้มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตได้ - เตรียมตัวหยุดงานประมาณ 2 วัน
- ในกรณีที่ดูดไขมันออก (1-2 จุด) อาจทำโดยการฉีดยาชา สามารถกลับบ้านได้ แต่ถ้าต้องการดูดไขมันมาก อาจต้องทำที่โรงพยาบาล หลังผ่าตัดต้องพักที่ ร.พ. 1 วัน
- งดสูบบุหรี่ ประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ ก่อนผ่าตัด
การปรึกษาแพทย์ก่อนผ่าตัด
- ปริมาณไขมันที่ต้องการดูด
- ตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมัน โดยทั่วๆไปจะซ่อนไว้ตามรอยพับที่ต่างๆ
- เทคนิคที่จะใช้ในการดูดไขมัน
- ศึกษาถึงแผลเป็นที่เกิดจากการดูดไขมันในแต่ละตำแหน่ง เช่น บริเวณหน้าท้อง แผลทางเข้าจะอยู่ทางสะดือหรือขาหนีบถ้าต้องการดูดไขมันบริเวณที่ต้นขา แผลจะอยู่ที่ขาหนีบ
ขั้นตอนการผ่าตัด
- วางยาสลบหรือใช้ยาชาเฉพาะที่
- เปิดช่องผิวหนังเป็นรอยยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร
- ฉีดยาเพื่อทำให้ไขมันอ่อนตัว และผสมยาห้ามเลือดลงในตำแหน่งที่ดูดไขมัน
- สอดท่อเข้าไปในรอยแผลที่เปิดไว้ และดูดเอาไขมันส่วนเกินออก
- เย็บแผลด้วยไหมขนาดเล็กประมาณ 1 – 2 เข็ม เพื่อปิดปากแผล
- พันบริเวณที่ดูดไขมันด้วยผ้ายืด
- ใช้เวลา 30 นาทีถึง 5 ชม. ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูด
การดูแลหลังการผ่าตัด
- หลังผ่าตัด พักที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2 – 3 วัน ถ้าดมยาสลบ ควรพักที่โรงพยาบาล 1 วัน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องผูกควรรับประทานผัก,ผลไม้และดื่มน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้ท้องผูก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3 อาทิตย์หลังผ่าตัดเพราะจะทำให้เกิดน้ำเหลืองค้างในแผลผ่าตัดได้
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 อาทิตย์หลังผ่าตัดเพราะบุหรี่ทำให้แผลหายช้า
- ถ้ามีอาการบวมแดงบริเวณแผลผ่าตัดมากกว่าปกติควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- ควรใส่ชุดชั้นในรัดรูปประมาณ 1 เดือนเพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีและลดบวม
- รัดผ้ายืดรัดหน้าท้องให้แน่นและจัดอย่าให้มีรอยย่นบนผ้ารัดหน้าท้อง
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งไม่ควรทานยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพริน
- ถ้าหายปวดควรเริ่มเดินช้าๆเพื่อลดอาการบวม
- งดการออกกำลังกายที่เกรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น การซิดอับ, ควรงดออกกำลังกายหนักๆ ประมาณ 2 อาทิตย์
- งดการแช่ตัวในอ่างอาบน้ำถ้ายังไม่ได้ตัดไหม
- ช่วง 3 วันแรกจะบวมสุดๆแต่จะยุบภายใน 2 – 4 อาทิตย์และยุบเต็มที่ภายใน 3 เดือน
- แผลผ่าตัดจะเห็นชัดในช่วงแรก และจะดีขึ้นตามลำดับภายใน1 – 2 ปี
- ควรใส่ชุดชั้นในรัดรูปประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีและลดบวม
- หลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือออกกำลังกายรุนแรง4 อาทิตย์
- วันที่ 3 สามารถอาบน้ำได้ แล้วซับแผลให้แห้ง
- ถ้าคันตัวสามารถทาแป้งแก้คันได้ แต่ห้ามทาที่แผล
- รับประทานอาหารได้ตามปกติ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม
ของแอลกอฮอล์ 1 – 2 อาทิตย์ - แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบ 5 – 7 วัน
- ถ้าดูดไขมันจำนวนน้อยสามารถกลับบ้านได้ จำนวนมากต้องค้างคืน
- เป็นรอยช้ำประมาณ 1 – 2 อาทิตย์
หมายเหตุ
- จะบวมประมาณ 2 – 4 อาทิตย์ และหลังจากบริเวณที่ดูดไขมันหายบวมแล้ว อาการบวมจะเลื่อนลงไปที่อวัยวะล่าง
- ต้องพันผ้ากระชับบริเวณที่ดูดไขมันไว้ตลอด 2 – 6 อาทิตย์ จะถอดออกก็ต่อเมื่ออาบน้ำ
- กลับไปทำงานได้ภายใน 5 – 7 วัน
- ขับรถได้ทันทีที่หยุดทานยาแก้ปวดแล้ว
- ออกกำลังกายได้ภายใน 2 – 4 อาทิตย์
- จะเข้าที่ภายใน 4 – 8 อาทิตย์