การผ่าตัดเอาไขมันหน้าท้องออกจะช่วยให้ทรวดทรงกระชับ และแก้ปัญหาหน้าท้องลายหรือผิวแตกลายหรือหน้าท้องหย่อนยาน การตัดไขมันหน้าท้องเหมาะกับผู้ที่มีหน้าท้องส่วนล่างหย่อนมาก โดยที่การสะสมของไขมันไม่มากนัก ผู้ที่เหมาะจะทำการผ่าตัดนี้ ได้แก่
- ผู้ที่เคยตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีหน้าท้องยื่น หย่อนยาน หรือห้อยย้อย
- ผู้ที่มีแผลเป็นจากการผ่าตัดเดิมที่อยู่ต่ำกว่าสะดือ
- ผู้ที่ผ่านการลดความอ้วนและมีปัญหาหน้าท้องหย่อนมากๆ
- ไม่มีแผนที่จะตั้งครรภ์ในอนาคต
เทคนิคการผ่าตัด
สารบัญ
เทคนิคที่ 1 การผ่าตัดแบบย่อ (Mini Lipectomy)
เป็นการผ่าตัดเน้นกระชับเฉพาะส่วนล่าง ต่ำกว่าสะดือ ใช้ได้ดีในผู้ที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน หรือหย่อนเนื่องจากการลดความอ้วน มีเฉพาะผิวหนังและไขมันที่ต้องตัดออก รอยแผลผ่าตัดจะสั้นกว่าแบบเต็ม ไม่ต้องตกแต่งสะดือให้ใหม่ ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง วิธีนี้ถ้าใช้กับผู้ที่มีพังผืดระหว่างกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดยานจะทำให้ กระชับได้เฉพาะส่วนล่างของท้อง ส่วนบนบริเวณลิ้นปี่จะยังป่องๆ อยู่ ทำให้ได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร สำหรับผู้ที่มีหน้าท้องส่วนบนหย่อนด้วย การผ่าตัดแบบนี้อาจทำโดยการดมยาสลบหรือฉีดยาชาได้
เทคนิคที่ 2 การผ่าตัดแบบเต็ม (Full Lipectomy)
เป็นการแก้ปัญหาหน้าท้องหย่อนหรือลายทั้งหมด ผู้ที่เคยตั้งครรภ์มักต้องใช้วิธีนี้จึงจะได้ผลดี รอยแผลผ่าตัดเหนือหัวเหน่าจะยาวกว่าแบบย่อ และต้องตกแต่งสะดือให้ โดยการย้ายตำแหน่งสะดือใหม่ เนื่องจากผิวหนังเดิมที่อยู่เหนือสะดือจะถูกดึงข้ามสะดือมาที่หัวเหน่า โดยที่ผิวหนังระหว่างสะดือถึงหัวหน่าวจะถูกตัดออกทั้งหมด ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง โดยเทคนิคนี้ รูปร่างของหน้าท้องจะดีขึ้นมาก เนื่องจากสามารถตัดผิวหนังออกได้มาก
เทคนิคที่ 3 การผ่าตัดแบบกลาง ( Modified Lipectomy)
เป็นวิธีการผ่าตัดในผู้ที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดไขมันแบบเติม (Full Lipectomy) ได้ เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนไม่มาก และผิวหนังที่อยู่เหนือสะดือเริ่มมีการหย่อนบ้างและกล้ามเนื้อบริเวณเหนือ สะดือเริ่มหย่อนมากขึ้น ควรต้องเย็บให้กล้ามเนื้อตึงมากขึ้น หรือมีแผลเป็นบริเวณหน้าท้องที่ไม่ สามารถทำให้ดึงหน้าท้องตึงมากได้
วิธีนี้จะทำการผ่าตัดโดยตัดผิวหนังมากกว่า การผ่าตัดไขมันแบบย่อ โดยที่สามารถเย็บกระชับกล้ามเย็บส่วนบนและ มีการย้ายสะดือลงล่างเล็กน้อยโดยที่จะไม่มีแผลเป็นรอบๆ สะดือ แต่สามารถตัดผิวหนังใต้สะดือได้มากขึ้น
เทคนิคที่ 4 การตัดไขมันหน้าท้องร่วมกับการดูดไขมัน (Suction Assisted Lipectomy and Full Lipectomy)
การผ่าตัดไขมัน ร่วมกับการดูดไขมัน อาจทำได้ทั้งการตัดไขมันแบบย่อหรือการตัดไขมันแบบเต็ม โดยก่อนการเย็บปิดแผลอาจทำการดูดไขมัน บริเวณด้านข้างเพิ่ม
เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันด้านข้างอยู่มาก โดยการดูดไขมัน บางส่วนพร้อมกับการตัดไขมันจะไม่มีแผลเป็นเพิ่ม เนื่องจากดูดผ่านแผลผ่าตัดได้เลย
เทคนิคที่ 5 การตัดไขมันร่วมกับการเสริมหน้าอก (Lipectomy with Augmentation Mammo Plasty)
ในผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอกร่วมกับการตัดไขมัน สามารถทำการเสริมหน้าอกโดยผ่านแผลผ่าตัดไขมันได้ เทคนิคดังกล่าว ไม่แนะนำให้ทำในผู้ที่มีไขมันหน้าท้องหนามาก
การตรวจก่อนการผ่าตัด
ในวันที่ทำการปรึกษาแพทย์ มักต้องทำการตรวจร่างกายโดยตรวจต้องทำในท่ายืนดูความหนาของชั้นไขมันที่หน้า ท้องและทดสอบความตึงของผิวหนัง โดยทั่วไปผู้ที่เหมาะสมมากกับการผ่าตัดคือคนที่มีการหย่อนยานหรือมีการแตก ลายของหน้าท้องส่วนล่างโดยที่ไม่มีชั้นไขมันหนามาก เพราะการผ่าตัดไขมันหน้าท้องจะช่วยให้หน้าท้องตึงมากและมีเอวเล็กลงทำให้สัด ส่วนดีขึ้นมากแต่ไม่ช่วยลดชั้นไขมันลงมาก การตรวจก่อนการผ่าตัด มักต้องดูรายละเอียดดังนี้
การหย่อนยานของผนังหน้าท้องส่วนล่าง
ถ้ามีผิวหนังมากและมีการหย่อนยานมาก การผ่าตัดจะช่วยให้ตึงได้มาก การวัดดูความตึงต้องลองกำหนดว่าสามารถจะตัดผิวหนังได้โดยปลอดภัยหรือไม่โดย การลองดึงผิวหนังเข้าหากันในท่างอตัว ถ้าไม่สามารถดึงได้ถึงกันอาจต้องระมัดระวังไม่ตัดมากเกินไป
การลองดึงผิวหนังแบบนี้จะสามารถกำหนดความตึงได้ เฉพาะคนไข้ปกติ แต่ในรายที่- มีไขมันหนามาก
- เป็นเบาหวาน
- สูบบุหรี่
คงต้องระมัดระวังไม่ควรดึงผิวหนังให้ตึงเกินไป เพราะในกลุ่มที่ A – C นี้ ความเสี่ยงของการหายของแผล คือมีโอกาสที่แผลแยกหรือติดเชื้อได้ง่าย
การหย่อนยานของด้านบนของท้อง
หลังการผ่าตัดผิวหนังที่อยู่เหนือสะดือจะถูกดึงมา ไว้ที่หัวเหน่า ถ้าผิวหนังบริเวณเหนือสะดือมีลายแตก ส่วนที่แตกลายก็จะถูกย้ายมาไว้ที่เหนือหัวเหน่า ในกรณีที่ผ่าตัดแบบเต็มถ้าผิวหนัง ด้านบนหย่อนยานมากและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนมาก อาจต้องตัดผิวหนังที่อยู่เหนือสะดือออกมากกว่าปกติด้วย
ความหย่อนยานของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ในบางคนผิวหนังไม่ได้หย่อนยานมากแต่การที่ผนังท้องโต เกิดจากการหย่อนมากของกล้ามเนื้อ การผ่าตัดไขมันหน้าท้องจะมีการเย็บกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย ช่วยให้ลดการหย่อนของผนังกล้ามเนื้อในกรณีที่มีการหย่อนมากจะต้องเย็บให้ ผนังหน้าท้องตึงมากอย่างไรก็ตามการกระชับผนังกล้ามเนื้อหน้าท้องจะต้องระมัด ระวังในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจ
การดูดไขมัน
โดยทั่วไปในคนที่มีไขมันหนามากมักมีรอยนูนด้านข้างลำตัวหลังการตัดไขมันซึ่ง เกิดจากไขมันด้านข้างที่ยังหนาอาจต้องทำการดูดไขมันร่วมด้วยเพื่อช่วยให้รูป ร่างดูดีขึ้น สำหรับไขมันบริเวณด้านบนของ หน้าท้อง ถ้าจะดูดไขมันเพื่อลดความหนาของผิวหนังอาจต้องระมัดระวังในบางคนเพราะเป็น ทางที่เส้นเลือดมาเลี้ยงผิวหนังด้านล่าง
แผลผ่าตัดเดิม
แผลหน้าท้องทั้งหมดต้องพิจารณาประกอบกับเทคนิคการผ่าตัดอาจทำให้แผลย้ำตัดมี ปัญหาถ้าดูดมาก แผลผ่าตัดเดิมมีผลมากๆ ต้องการตัดสินใจตัดไขมันหน้าท้องโดยทั่วไปแผลที่หน้าท้องที่เกี่ยวข้องกับ การตัดไขมันได้แก่
1. แผลผ่าตัดไส้ติ่งหรือไส้เลื่อน ไม่มีผลต่อการผ่าตัดเพราะแผลอยู่ต่ำและมักต้องตัดออกเวลาตัดไขมัน
2. แผลแนวตั้งด้านล่าง ไม่มีผลต่อการผ่าตัดแบบเต็มแต่มีผลต่อการผ่าตัดแบบย่อ ทำให้ไม่สามารถดึงผิวหนังหน้าท้องลงไปได้มากอาจตัดได้น้อยกว่าคนที่ไม่มีแผล หน้าท้อง
3. แผลแนวนอนด้านล่าง มัก เป็นแผลตัดมดลูกหรือผ่าท้องคลอดลูก โดยทั่วไปเรา มักจะลงแผลตัดไขมันหน้าท้องให้เป็นแผลเดียวกันกับแผลเดิมแต่สูตินารีแพทย์ มักลงแผลในตำแหน่งที่ต่ำมากในบางคนที่หน้าท้องไม่ได้หย่อนยานมากต้องระมัด ระวังถ้าผ่าตัดผิวหนังออกมากอาจจะตึงเกินไปทำให้แผลแยกได้ ในกรณีที่แผลผ่าตัดตึงมากอาจต้องลงแผลตัดไขมันเหนือแผลเดิมเล็กน้อยเพื่อให้ ไม่เกิดปัญหาเรื่องแผลแยกหลังผ่าตัดทำให้หลังผ่าตัดมีแผล 2 แผลโดยแผลทั้งสองสามารถเย็บเป็นแผลเดียวได้ในภายหลัง (6 – 9 เดือน) ถ้ารูปร่างแผลดูไม่สวยงาม
4. แผลแนวตั้งตลอดความยาวของหน้าท้อง คน ที่มีแผลนี้มักมีปัญหาเพราะแผลเป็นไม่มีความยืดหยุ่นทำให้ดึงหน้าท้องให้ตึง ไม่ได้เพราะติดแผลเป็นทำให้ผ่าตัดแบบเต็มได้ยากอาจต้องเปลี่ยนเป็นผ่าตัดแบบ ย่อ อย่างไรก็ตามในคนที่มีผิวหนังที่อยู่เหนือสะดือหย่อนมากและหน้าท้องส่วนล่าง หย่อนมากในเวลาที่ตรวจในท่ายืน สามารถดึงผิวหนังได้สบายๆไม่ตึงมากก็สามารถผ่าตัดได้
5. แผลเป็นแนวตั้งด้านบน จาก การผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือถุงน้ำดีไม่มีปัญหาในการตัดไขมันแบบย่อแต่ถ้าผ่า ตัดแบบเต็มอาจดึงผิวหนังหน้าท้องไม่ได้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะถ้าแผล เป็นไม่ยืดหยุ่นหรือหน้าท้องไม่หย่อนยานมากคงจะผ่าตัดไม่ได้เพราะเย็บปิดแผล ไม่ได้
6. แผลเป็นตามแนวของด้านขวาจากการตัดถุงน้ำดี แผล นี้ไม่มีผลต่อการดึงผิวหนังหน้าท้องให้ตึงแต่ต้องระมัดระวังเพราะถ้าผิวหนัง ที่ดึงตึงมาก ผิวหนังอยู่ใต้แผลเป็นอาจตายได้ตลอดแนวเพราะเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอดังนั้น ถ้าทำการตัดไขมัน ไม่ควรตัดผิวหนังออกมากเกินไป
7. แผลเป็นจากการผ่าตัดโดยใช้กล้อง ปัจจุบัน มีการผ่าตัดโดยใช้กล้องเพื่อตัดถุงน้ำดี,ไส้ติ่งหรือมดลูกมาก โดยทั่วไปแผลจากการใช้กล้องจะเป็นแผลเล็กๆ ไม่ค่อยผลต่อการตัดไขมัน สามารถดึงผิวหนังให้ตึงได้แต่จะมีปัญหา 2 ส่วนคืออาจมีปัญหาเลือดมาเลี้ยงไม่พอหรือแผลเป็นที่ใหญ่ๆหรือสำหรับตำแหน่ง ที่ใส่กล้องมักอยู่ใกล้สะดือทำให้มีปัญหาการตกแต่งสะดือในบางราย
การปรึกษาก่อนผ่าตัด
- ปริมาณไขมันที่ต้องการตัด
- ต้องการดูดไขมันด้วยหรือไม่
- เลือกเทคนิคที่จะใช้ในการผ่าตัด ความเหมาะสม
- ลักษณะของสะดือที่ต้องการ
- ปรึกษาแพทย์ถึงขนาดและความยาวของแผลเป็น
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- งด ยาต้านการอักเสบ (NSAID) เช่นแอสไพริน บุหรี่ อาหารเสริมบางตัวที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น กระเทียม น้ำมันปลา อย่างน้อย 2 อาทิตย์ ก่อนการผ่าตัด
- เตรียมลาหยุดงานประมาณ 10 – 14 วัน
- ตรวจเช็คโรคประจำตัวก่อนผ่าตัด
- งดน้ำ งดอาหารก่อนผ่าตัดประมาณ 6 ชั่วโมง
- เตรียมโกนขน หรือหน้าท้องหรือหัวเหน่า ก่อนมาโรงพยาบาล
- ก่อนวันผ่าตัดควรทานอาหาร อ่อน ๆ เนื่องจากหลังผ่าตัดไม่สามารถเดินเข้าห้องน้ำ
เพื่อถ่ายอุจจาระได้ - อาบน้ำชำระร่างกายก่อนผ่าตัด
- ควรมีเพื่อนมาด้วยในวันผ่าตัด
- ไม่ควรนำสิ่งของมีค่าติดตัวมาในวันผ่าตัด
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือความดันควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนว่าสามารถผ่าตัดได้หรือไม่
- เตรียมเสื้อผ้าหลวมๆ เพื่อใส่กลับบ้าน
ขั้นตอนการผ่าตัด
- จะมีแผลผ่าตัดยาวทอดตัวตามแนวขวางซ่อนอยู่บริเวณเหนือหัวเหน่า
- แพทย์จะเลาะแยกชั้นไขมันออกจากกล้ามเนื้อหน้าท้อง เลาะสูงขึ้นไปถึงลิ้นปี่
- เย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องเข้าหากันเพื่อกระชับสัดส่วนบริเวณเอว
- ดึงผิวหนังหน้าท้องให้ตึงพอประมาณ แล้วจึงตัดส่วนเกินนั้นทิ้งไป
- การย้ายสะดืออาจเป็นสิ่งจำเป็นในรายที่ต้องดึงผิวหนังหน้าท้องลงมาได้จำนวนมาก
- เย็บปิดแผลทีผิวหนัง หลังจากนั้นใส่สายระบายน้ำเหลือง
การดูแลหลังการผ่าตัด
- หลังผ่าตัด พักที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2 – 3 วัน
- หลังผ่าตัดวันที่ 1 – 2 วันให้นอนในท่างอตัวและปัสสาวะโดยผ่านสายสวนบนเตียงโดยแพทย์จะเอาสายสวนปัสสาวะออกประมาณวันที่ 2 หลังผ่าตัด
- วันที่ 2 ให้เดินงอตัวได้รอบๆเตียงอาจต้องเดินงอตัวประมาณ 1 – 2 อาทิตย์จึงจะยืดตัวตรงได้
- วันที่ 3 แพทย์จะดึงสายระบายน้ำเหลืองออกสามารถอาบน้ำได้แล้วซับแผลให้แห้ง
- ในวันที่ 4 ถ้าสามารถเดินได้ก็สามารถกลับบ้านได้
- เอาผ้าพันแผลออกได้ภายใน 1 – 4 วันและต่อสายดูดเลือดกับน้ำเหลืองทางด้านข้างลำตัวรวมทั้งท่อสวนปัสสาวะและจะเอาออกได้ภายใน 2 – 4 วัน
- แผลผ่าตัดจะเห็นชัดในช่วงแรกและจะดีขึ้นตามลำดับภายใน 1 – 2 ปี
- ระวังอย่าให้แผลเปียกน้ำหลังจากกลับบ้านถ้ายังมีผ้าก๊อสปิดแผลอยู่อย่าดึงผ้าก๊อสออกเอง ยกเว้นแพทย์จะสั่งให้ดึงออกเอง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องผูกควรรับประทานผัก,ผลไม้และดื่มน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้ท้องผูก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3 อาทิตย์หลังผ่าตัดเพราะจะทำให้เกิดน้ำเหลืองค้างในแผลผ่าตัดได้
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 อาทิตย์หลังผ่าตัดเพราะบุหรี่ทำให้แผลหายช้า
- ถ้ามีอาการบวมแดงบริเวณแผลผ่าตัดมากกว่าปกติควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- นอนในท่าที่ศรีษะสูงและหัวเข่าสูงโดยวางหมอน 2 ใบที่ศรีษะและวางอีก1 ใบไว้ใต้หัวเข่า
- แผลเป็นอาจนูนได้ อาจช่วยนวดบริเวณแผลผ่าตัด เช้า – เย็นครั้งละประมาณ 10 นาที
- ควรใส่ชุดชั้นในรัดรูปประมาณ 1 เดือนเพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีและลดบวม
- หลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือออกกำลังรุนแรง 6 อาทิตย์
- ถ้าคันตัวสามารถทาแป้งแก้คันได้แต่ห้ามทาที่แผล
- รัดผ้ายืดรัดหน้าท้องให้แน่นและจัดอย่าให้มีรอยย่นบนผ้ารัดหน้าท้อง
- ควรรัดผ้ายืดรัดหน้าท้องไว้อย่างน้อย 6 อาทิตย์
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งไม่ควรทานยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพริน
- ถ้าหายปวดควรเริ่มเดินช้าๆเพื่อลดอาการบวม
- งดยกของหนักเกิน 2 – 5 กิโลเป็นเวลา 6 อาทิตย์
- งดการออกกำลังกายที่เกรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น การซิดอับ, ควรงดออกกำลังกายหนักๆ ประมาณ 6 อาทิตย์
- สามารถอาบน้ำได้หลังจากเอาสายระบายน้ำเหลืองออก 2 วัน
- ก่อนการอาบแดดควรทาครีมกันแดดที่มีแพกเตอร์มากกว่า 30
- งดการแช่ตัวในอ่างอาบน้ำถ้ายังไม่ได้ตัดไหม
- รับประทานอาหารได้ตามปกติควรงดอาหารนมทุกชนิด
- แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบกำหนด 10 วันและ 14 วันและให้ปิดแผ่นปิดแผลเป็นประมาณ
4 อาทิตย์ - หลังการผ่าตัดจะนัดดูแผลที่หน้าท้องทุก 1 เดือนถ้ามีปัญหาเรื่องแผลเป็นนูนในบางครั้งอาจต้องฉีดยารักษาแผลเป็นช่วยได้บางครั้ง
- ช่วง 3 วันแรกจะบวมสุดๆแต่จะยุบภายใน 2 – 4 อาทิตย์และยุบเต็มที่ภายใน 3 เดือน
- แผลผ่าตัดจะเห็นชัดในช่วงแรก และจะดีขึ้นตามลำดับภายใน 1 – 2 ปี
หมายเหตุ
- จะรู้สึกชาบริเวณหน้าท้องประมาณ 6 เดือนหรือนานกว่านั้น แต่ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง เนื่องจากความรู้สึกจะดีขึ้นตามลำดับ
- ต้องสวมแผ่นรัดหน้าท้องตลอดเวลานาน 2 – 6 อาทิตย์ เพื่อช่วงพยุงหน้าท้องเอาไว้
- ขับรถและทำงาน(เบาๆ) ได้ภายใน 7 – 14 วัน
- ออกกำลังได้ภายใน 4 อาทิตย์
- เข้าที่ภายใน 1 ปี
- ระหว่างที่พักพื้น หากคุณต้องไอ จาม หัวเราะหรือถ่ายท้อง ก็ให้กดหมอนกับหน้าท้องไว้แน่น ๆ เพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
- ในช่วงอาทิตย์แรกอย่าอาบน้ำขณะอยู่บ้านคนเดียว เพราะคุณอาจเวียนศีรษะเป็นลมในห้องน้ำได้
- ถ้าหากคุณคิดจะมีลูกอีกสักคน ไม่ควรเข้ารับการผ่าตัดไขมันหน้าท้อง เพราะหน้าท้องคุณจะหย่อนและลายอีกครั้ง หลังจากคลอดลูก